สมัยนั้นย้อนไปสักปี 1970 สุดยอดมหกรรมที่เปิดหูเปิดตาชนชาติเอเชียก็คืองานเอ็กซ์โปที่เมืองโอซาก้า กับ "Tower of the Sun" ประติมากรรมสไตล์อาวองการ์ดที่สุดแสนจะติดตา และแน่นอนว่าคอการ์ตูนจะต้องคุ้นเคยกับเรื่อง "20th Century Boy" ที่ก็ได้ต้นกำเนิดมาจากเอ็กซ์โปนี้เหมือนกัน
และล่าสุดตอนนี้โอซาก้าก็กำลังจะมีงานเอ็กซ์โปเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2025 หรือก็คือปีหน้านี้เอง แต่ที่น่าสนใจมากคืองานเอ็กซ์โปครั้งนี้ ญี่ปุ่นได้ทำการเปลี่ยนเกาะเทียมธรรมดาให้กลายเป็นเมืองขนาดย่อมครับ!
"Osaka Expo 2025" จะจัดขึ้นที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น โดยกำหนดวันออกมาแล้วคือวันที่ 13 เมษายน - 13 ตุลาคม 2025 หรือก็คือในเวลาราวๆ นี้อีกหนึ่งปีข้างหน้านี่เอง!
สถานที่จัดงานครั้งนี้คือเกาะ Yumeshima (แปลว่า "เกาะแห่งความฝัน") เป็นเกาะเทียมที่มีภูมิทัศน์แบบโมเดิร์นมีชีวิตชีวา เชื่อมต่อถึงกันในโอซาก้าเบย์พร้อมคอนเซ็ปต์ "การออกแบบสังคมแห่งอนาคตเพื่อชีวิตของเรา" ซึ่งถือว่าเป็นธีมที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังสุดๆ
คอนเซ็ปต์นี้จะถูกทำให้เป็นจริงผ่านพาวิลเลียนที่นำเสนอวิสัยทัศน์ของสังคมที่ยั่งยืน เปิดรับความท้าทาย ส่งเสริมวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นใหม่ และส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีที่สำคัญต่อความเจริญรุ่งเรืองสำหรับทุกคนด้วย
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือผลงานออกแบบของ "Sou Fujimoto" สถาปนิกชาวญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องงานดีไซน์ที่หยิบเอาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซเข้ากับความเป็นมนุษย์ได้อย่างแนบเนียน และครั้งนี้ก็ได้ออกแบบ "วงแหวนยักษ์" ล้อมรอบพื้นที่จัดงานไว้ทั้งหมด ทำหน้าที่เสมือนทางสัญจรโดยรอบ ใช้พักผ่อนและบังแดดได้ ชมวิวทะเลหรือจัดสวนตามฤดูกาลก็ได้อีกเหมือนกัน
เหตุผลที่ต้องเป็นไม้ ก็เพราะความเป็นญี่ปุ๊นญี่ปุ่นอีกนั่นแหละครับ โดยตัวสถาปนิกนั้นต้องการออกแบบสถาปัตยกรรมลักษณะวงแหวนที่มีวัสดุเป็นไม้ให้เข้าไปกับการตีความแบบร่วมสมัยของการก่อสร้างงานสถาปัตยกรรมด้วยไม้แบบดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่นนั่นเอง ตัวอย่างงานสถาปัตยกรรมแบบไม้ล้วนที่เห็นกันชัดๆ ก็เช่นที่วัด Kiyomizu ใน Kyoto นั่นเองครับ
และเจ้าวงแหวนยักษ์นี่ท้าทายตรงนี้เป็น "โครงสร้างไม้" ทั้งหลังด้วยพื้นที่ภายในกว่า 60,000 ตารางเมตร ระดับบิ๊กแบบนี้แน่นอนว่าเตรียมขึ้นแท่นเป็นงานโครงสร้างไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วยความสูงถึง 22 เมตร บวกเส้นผ่าศูนย์กลางอีก 615 เมตร ซึ่งต้องยอมรับว่านี่คืองานหินและเป็นสเกลที่ใหญ่มากทีเดียวสำหรับงานไม้
ทางด้านพื้นที่ด้านในจะแบ่งออกเป็น 3 โซนด้วยกัน คือ Pavilion World, Water World และ Green World รวมไปถึงพลาซ่าที่ใช้จัดกิจกรรมต่างๆ ด้วย โดยมีประเทศที่เข้าร่วมกว่า 150 ประเทศทั่วโลก
ทางด้านตั๋วเข้าชมก็มีรายละเอียดออกมาแล้วนะ คือจะเป็นตั๋วแบบ e-tickets ครับ แบ่งออกเป็นหลายรูปแบบหลายราคา ตั้งแต่ One-Day Ticket (1,000 - 6,700 JPY), Multiple-Entry Pass (3,000 - 30,00 JPY), Special Ticket (1,000 - 3,700 JPY) กับตั๋วที่ขายในช่วงงานซึ่งจะแบ่งย่อยไปอีกเป็น One-Day Ticket, Weekday Tickets และ Night Tickets (1,000 - 7,500 JPY) และยังมีแบบ Group Ticket และ School Group Ticket ด้วยครับ
เอาเป็นว่าใครสนใจและรอคอยงาน Osaka Expo 2025 ที่น่าจะกลายเป็นอีกหนึ่งตำนานบทใหม่ของญี่ปุ่นไปอีกหลายสิบปีแน่ๆ ก็เริ่มเก็บเงินรอกันได้ตั้งแต่วันนี้เลยนะ
Tag :
“ได้วิวแม่น้ำ สวยขนาดนี้เลยรึนี่?!“ เป็นความรู้สึกของผมตอนที่ขึ้นไปชั้น 38 วิวสวยแบบไม่มีอะไรมาบดบังเลย มีมุมที่เห็นสวนเบญจกิติด้วย
สำหรับผมแล้ว BTS สถานี "ห้าแยกลาดพร้าว" เป็น สถานี Interchange กับ MRT ที่ผมชอบที่สุด และมักจะเป็นทำเลที่ผมแนะนำ ให้คนมาอยู่อาศัยมากที่สุดอันดับต้นๆเลย
มีความท้าทายเล็กๆ กับการเปลี่ยนอดีต ’สถานทูตออสเตรเลีย‘ ให้กลายมาเป็น ‘Luxury Condo’ และ ’Mixed-Use’ ระดับ ’iconic’ ริม ’ถนนสาทร‘
'เกือบหลับ แต่กลับมาได้' จะมีโครงการไหนกันเชียวที่จะเหมาะกับคำนี้ ถ้าไม่ใช่ 'Hyde Riverbay Charoennakorn' (ไฮด์ ริเวอร์เบย์ เจริญนคร)
โครงการใหม่ของ Major ที่แน่มาก แกร่งมาก เพราะไม่หวั่นไหวกับการต้องถูกขนาบข้างโดย Sansiri แบบรั้วชนรั้วเลย!
'dcondo calm Ramkhamhaeng 40' (ดีคอนโด คาล์ม รามคําแหง 40) ก็เป็นอีกโครงการที่ผมบอกเลยว่า คุณจะลืมภาพจำของแบรนด์ดีคอนโดแบบเดิมๆ ไปแทบหมดสิ้น เพราะโครงการนี้ เค้าอยู่ใกล้รถไฟฟ้าถึง 2 สาย ทั้งสายสีส้มและสายสีเหลือง!!!
ไหนใครกำลังจะรีไฟแนนซ์กันบ้าง ใครกำลังผ่อนบ้านอยู่เพลิน ๆ นี่ห้ามลืมเด็ดเลยนะ เพราะหนี้บ้านพอพ้น 3 ปีแรก ดอกเบี้ยจะพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดดเลย
ขออวดว่าผมได้รีวิวหนังสือเล่มนี้ก่อนหนหน้านี้แล้วด้วยนะ อิอิ แต่ที่จริงผมไม่ได้ตั้งใจรีวิวหรอก แต่เป็นคนอ่านหนังสือแล้วชอบ ‘Short Note’ ประโยคดีๆ คมๆ เก็บไว้ แต่ปรากฏว่ามันโดนบาดเยอะมาก จนสามารถเอามาลงในเพจได้เลย
ช่วงนี้ผมชอบเข้าไปดูงานออกแบบของ Foster + Partners บ่อยสุดๆ คือรู้สึกได้เลยว่าเราอินกับสไตล์การออกแบบของเค้ามากๆ ซึ่งถ้าใครไม่รู้ว่าเค้าคือใคร Foster + Partners คือบริษัทที่ออกแบบ Apple Store ตรงเซ็นทรัลเวิลด์ นั่นแหละครับ น่าจะพออ๋อกันขึ้นมาบ้างเนอะ
ยุคนี้ใครเค้าเที่ยวต่างประเทศกัน คนรวยเค้าเที่ยวนอกโลกครับ!
Apple Store นี่ไม่ว่าจะไปเปิดสาขาที่ไหน ก็สามารถกลายเป็นแลนด์มาร์คของที่นั้นๆ ได้ตลอด ล่าสุดเค้าเพิ่งเปิดสาขาใหม่ที่ประเทศมาเลเซีย ไปหมาดๆ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมานี่เอง ซึ่งนี่เป็นสาขาแรกของมาเลเซีย
เดือน 7 กำลังจะผ่านพ้นอีกแล้วนะครับ ตอนนี้อากาศกำลังชุ่มฉ่ำแบบสุด ๆ ไปเลย ซึ่งหลายเดือนที่ผ่านมามีสัญญาณว่าดอกเบี้ยแบบคงที่เริ่มกลับมาแล้วนะ