การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับ “กลุ่มไทยเบฟ” ในธุรกิจร้านอาหารได้มากขึ้น และสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกไลฟสไตล์ เนื่องจากยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจของกลุ่มไทยเบฟ ต้องการสร้างความครบวงจรทั้งขาธุรกิจเครื่องดื่ม ที่มีทั้งกลุ่มแอลกอฮอล์ และกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ รวมถึงการรุกเข้าสู่ธุรกิจอาหาร

“การเข้าซื้อกิจการเคเอฟซีครั้งนี้ นอกจากจะสร้างโอกาสการขยายธุรกิจอาหารของไทยเบฟแล้ว เรายังเล็งเห็นศักยภาพเครือข่ายสาขาเคเอฟซีในประเทศไทย ที่จะทำให้เราสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้หลากหลายกลุ่มทั่วประเทศ เพื่อทำให้เราได้เห็นเทรนด์ตลาด และเข้าใจความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะทำให้กลุ่มไทยเบฟยืนอยู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และที่สำคัญจะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับองค์กร

การจับมือกับ “ยัม เรสเตอรองท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)” ที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน (Quick Service Restaurant : QSR) ของเคเอฟซี เราไม่ได้โฟกัสแค่การดำเนินธุรกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนาบุคลากรด้วยเช่นกัน ดังนั้นไทยเบฟมีความพร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะเดินหน้าขยายสาขาเคเอฟซีในไทยต่อไป” คุณนงนุช บูรณะเศรษฐกุล รองประธานอาวุโสสายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าว

ทั้งนี้ “เคเอฟซี” ได้เข้าสู่ตลาดประเทศไทยเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว และปัจจุบันเป็นผู้นำในธุรกิจเชนร้านอาหารบริการด่วน ปัจจุบันมีสาขากว่า 500 สาขา แบ่งเป็นของยัม เรสเตอรองท์ ประเทศไทย 240 สาขา, CRG ในเครือเซ็นทรัล กรุ๊ปกว่า 200 สาขา และ เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นต์ (อาร์ดี) 130 สาขา (เรสเทอรองตส์ ดีเวลลอปเม้นต์ เป็นแฟรนไชส์ที่ทางยัมฯ ได้บรรลุข้อตกลงขาย 130 สาขา) โดยเป้าหมายใหญ่ของการขยายสาขาของเคเอฟซีในไทย ต้องการมี 800 สาขาภายในปี 2563

สิ่งที่น่าจับตามองต่อ ก็คือ การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ของไทยเบฟ ดีลที่เกิดขึ้นจะส่งผลกับพันธมิตรอื่นๆ ของเคเอฟซีหรือไม่ เช่น เครื่องดื่มน้ำอัดลม ที่ปัจจุบันนี้ KFC จำหน่ายเครื่องดื่มของ Pepsi ในขณะที่ไทยเบฟเองก็มีเครื่องดื่มแบรนด์ Est อยู่ในพอร์ต ซึ่งนั่นก็นับเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ที่ช่วยเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจของไทยเบฟ

ที่มา : brandbuffet.in.th