อีกหนึ่งอย่างในคอนโดหรือแม้กระทั่งบ้าน ที่ถ้าไม่มีสิ่งนี้ถือว่าแปลกมาก ซึ่งนั่นก็คือออออ…
หลังคา?... ฝนตกทีเย็นชุ่มฉ่ำ แหมมมมมมม อันนั้นก็เกินป๊ายยยยย เราเฉลยเลยละกัน ฮ่าๆๆๆ
คำตอบคือ ผ้าม่าน!!!! มีห้องหรือบ้านใครไม่ติดบ้างไหมจะแอบไปส่อง อิอิ ล้อเล่นนะ… แต่ก็ไม่น่ามีหรอกเนอะ
เราเลยไปมัดรวมรูปแบบต่างๆ ของผ้าม่าน มาไว้ในเรื่องนี้ให้แล้ววววว
“ม่านผ้า” เป็นการรูดจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง หรือรูดแยกออกจากกันไปคนละฝั่ง ซึ่งเราว่าแทบทุกคนน่าจะเลือกใช้แบบนี้เป็นส่วนมาก เนื่องจากทำอะไรก็ง่ายไปหมด ไม่ว่าจะเป็น การติดตั้ง หรือการซักทำความสะอาดที่สามารถเข้าเครื่องได้สบายๆ
โดยเนื้อผ้า ก็จะมีหลักๆ อยู่ 3 แบบ คือ 1. ผ้าม่านธรรมดา จะเป็นใยผ้าธรรมชาติ มีแสงทะลุผ่านได้ค่อนข้างเยอะ แต่มีสีสันและลวดลายให้เลือกค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว
2. ผ้าม่านกันแสง เนื้อผ้ากันแสงจะมีหลายแบบ ทั้งแบบที่เป็น PVC และแบบผ้าใยสังเคราะห์ผสม ช่วยลดความร้อนและรังสียูวีที่ส่องผ่านเข้ามาในห้องได้แบบ 100%... แบบนี้เราว่าเหมาะกับห้องนอนนะ
3. ผ้าม่านโปร่ง จะเป็นผ้าใยสังเคราะห์ เช่น Polyester มีลักษณะบางเบา ส่วนใหญ่แนะนำให้ติดในห้องนั่งเล่น เพราะช่วยพรางสายตาจากคนข้างนอกได้ระดับนึง กันแสงได้พอประมาณ แต่ขณะเดียวกันก็ยังพอมองเห็นวิวทิวทัศน์ข้างนอกได้อยู่บ้าง
ซึ่ง “ม่านผ้า” จะเหมาะกับม่านประเภท ม่านตะขอหรือม่านจีบ เพราะจะช่วยกันแสงแดดได้มาก ปิดเข้าหากันมิดกันคนแอบส่อง... ใครชอบความเป็นส่วนตัวเราแนะนำอันนี้
อีกแบบคือประเภทม่านตาไก่หรือม่านกระเช้า ที่มีลักษณะเป็นรูไว้สวมกับรางม่าน ซึ่งแบบนี้ต้องคอยจัดผ้าให้ช่องพอๆ กัน และควรเลือกผ้าให้หนักหน่อย เพื่อให้ผ้าไม่ปลิวและปิดได้สนิทมากขึ้น นอกจากนี้ตัวรางโชว์ยังมีหลากหลายรูปแบบ เลือกได้ตามสไตล์เราเลยยยย
ต่อไปกับ “ม่านพับ” มีจุดเด่นตรงที่ประหยัดพื้นที่ในการเก็บ สะดวกในการใช้ ช่วยให้ห้องดูโล่ง โปร่ง ไม่รกตา เพราะเป็นการดึงรอกเปิดจากข้างล่างขึ้นข้างบน
แต่ถ้าเลือกติดแบบนี้ระยะห่างระหว่างหน้าต่างต้องอยู่ห่างจากฝ้าพอสมควร ไม่อย่างนั้นตอนดึงม่านเก็บขึ้นไปม่านจะบังหน้าต่างเอาไว้ส่วนหนึ่ง ซึ่งจะทำให้แสงสว่างลอดเข้ามาได้อย่างไม่เต็มที่
และเราว่า “ม่านพับ” ควรใช้กับหน้าต่างที่ขนาดมันพอดีๆ กับม่านแบบนี้ เรียกว่ายังไงดี ประมาณหน้าต่างเดี่ยวอ่ะ ไม่งงเนอะ 5555
คือเค้ามีข้อจำกัดเรื่องความกว้าง ถ้าเราใช้กับหน้าต่างที่กว้างมากเกินไป จะต้องติดหลายๆ อัน ซึ่งเราว่าไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ทั้งนี้ก็เพื่อความสวยงามล้วนๆ อิอิ
ม่านนี้จะคล้ายๆ กับข้อข้างบน แต่เรียกว่า “ม่านม้วน” วิธีการเก็บก็เก็บขึ้นไปข้างบนเหมือนกันแต่อันนี้ม้วนขึ้นไปแทน
ส่วนข้อดีก็เหมือนกับม่านพับเลย แต่เก็บขึ้นไปได้มิดชิดกว่าไม่บังหน้าต่าง ทำให้ห้องไม่ดูรุงรัง แถมยังใช้พื้นที่ในการติดตั้งไม่มาก ตัวม่านเองก็ไม่เก็บฝุ่น
ซึ่ง “ม่านม้วน” ชนิดนี้ มีทั้งแบบกันแสงที่กันแสงได้ถึง 100% และแบบที่ปล่อยให้แสงส่องผ่านได้บ้างที่เรียกว่า แบบกรองแสง
สุดท้ายและท้ายสุด คือม่านแบบ “มู่ลี่” ที่มีทั้งแบบที่ทำมาจากไม้ จากอะลูมิเนียม และแบบไม้โฟมวู๊ด สามารถปรับแสงที่ส่องเข้ามาได้ ด้วยการปรับองศาของใบในลักษณะแนวนอน
แน่นอนว่า “มู่ลี่” แบบนี้ส่วนใหญ่เรามักจะเห็นกันในออฟฟิศมากกว่า แต่ว่าก็นำมาใช้กับบ้านหรือคอนโดได้เหมือนกัน โดยห้องที่เหมาะกับม่านแบบนี้ก็เช่นห้องที่ใช้ผ้าม่านไม่ได้นั่นเอง
อย่างในห้องครัวหรือห้องน้ำ เพราะเวลาน้ำกระเซ็น ม่านแบบนี้จะทำความสะอาดได้ง่าย แถมไม่ต้องกลัวเชื้อราขึ้นเหมือนม่านผ้าด้วย
สำหรับข้อเสียของ “มู่ลี่” คือ อาจจะทำให้ห้องดูแข็งกระด้าง ไม่นุ่มนวลเท่าการใช้แบบผ้า และถ้าใช้ไปนานๆ ตัวใบมักจะหักและเสียได้ง่าย ซึ่งเราก็แก้ด้วยการ… ซื้อใหม่ 55555 หยอกๆ
นี่คือแบบม่านทั้งหมดที่เราหามาให้ทุกคนได้เลือกสรรกัน… คงไม่ต้องบอกว่าม่านเหมาะกับใคร เพราะเราว่าทุกห้องและทุกบ้าน จำเป็นต้องใช้และต้องมี!!! คิคิ
เพราะม่านจะช่วยลดแสงสว่าง กันแสงเข้าได้ดี เมื่อไม่ต้องการให้แสงแดดแผดเผาเรา ฮ่าๆๆ โดยเฉพาะในห้องนอนนี่ต้องใช้ผ้าแบบทึบหน่อย เพื่อช่วยกันแสงไม่ให้เข้ามารบกวนการหลับพักผ่อนของเรา
นอกจากนี้ยังเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้แก่คนที่อยู่ข้างใน ช่วยอำพรางปิดบังการมองเห็นจากภายนอก และยังกันเสียงเข้ามา รวมถึงกันเสียงออกไปอีกด้วย... ประโยชน์มากมายขนาดนี้และจะไม่ให้มีได้ยังไงหล่ะจริงไหมมมม