ระยะหลังมานี้ก็มีคอนโดหลายๆ ตัวบนเส้นเส้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงอ่อนนุช ถึงบางนา ก็มักจะยก “บางกะเจ้า” เข้ามาเป็นอีกหนึ่งจุดขายของโครงการ เช่นโครงการล่าสุดของอนันดาที่ผมได้ไปสำรวจทำเลมาก่อนหน้านี้ คลิกอ่านโร้ดทู.
. Ideo Mobi Sukhumvit Eastpoint ซึ่งก็ตั้งอยู่ห่างจากบางกะเจ้าไปเพียงไม่กี่นาที...
ฉะนั้นวันนี้ผมเลยอาสาสวมบทเป็นไกด์นำเที่ยว พาทุกคนลุยบางกะเจ้าในทริป “ปั่นไปกินไป@บางกะเจ้า” กันครับ
“บางกะเจ้า” สมุทรปราการ ตั้งอยู่คุ้งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งที่นี่ก็เป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งออกกำลังกายที่ใครๆ ก็ต้องมา ซึ่งที่นี่ก็เปรียบเสมือนแหล่งฟอกปอดชั้นเยี่ยมที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งด้วย
เริ่มต้นการเดินทางของทริปนี้แน่นอนเลย ใช้บริการยานแม่อีกแล้ว วิ่งปรื๊ดไปลง “BTS สถานีบางนา” แล้วใช้ทางออกที่ 2 ลงวัดบางนาใน แล้วมุ่งตรงไปหาวินพี่สุชาติ บริเวณปากทางเข้าวัด “พี่ๆ ไปท่าเรือ”
จากตรงนี้ไป พี่สุชาติจะพาเราวาร์ปไปไม่เกิน 5 นาทีก็ถึง “ท่าเรือวัดบางนานอก" ค่าวินมอเตอร์ไซค์หัวละ 20 บาท และในส่วนใครที่มาเป็นเดอะแก๊ง ผมแนะนำให้นั่ง Taxi จะคุ้มกว่า แต่ก็ดูลาดเลาก่อนนะครับ ว่ารถติดมั้ย ถ้ารถติดก็เลือกใช้บริการพี่สุชาติแหละดีแล้ว...
ดีกว่าไปนั่งเซ็งอยู่บน Taxi เน้อ 555+
เมื่อถึงท่าเรือวัดบางนานอกแล้วเราก็สามารถขึ้นเรือข้ามฟากไปยังท่าเรือวัดบางน้ำผึ้งนอก เป็นอันว่าถึงบางกะเจ้าแล้ว ค่าโดยสารแค่ 4 บาทเองจ้า
เมื่อถึงท่าเรือวัดบางน้ำผึ้ง เราก็สามารถเข้าไปไหว้พระ ทำบุญ สะสมแต้มบุญกันก่อนได้นะครับ
จากนั้นเราก็มองซ้ายมองขวา เราจะเห็นว่ามีหลายร้านที่ให้บริการเช่าจักรยาน สังเกตให้ดีนะครับ แต่ละร้านก็จะมีโปรโมชั่นแตกต่างกัน เช่นแถมผ้าเย็น แถมน้ำดื่ม หรือแผนที่กันหลง ซึ่งไม่ต้องกลัวหลงครับ!!! หลงแน่นอน!!!! สำหรับใครที่มาครั้งแรก 555+ +
ถูกใจคันไหน เลือกคันนั้น คันที่เหมาะกับขาของเราที่จะยันรถถึง 555
ราคาก็ประมาณ 50 บาทต่อคัน ปั่นเช้ายันเย็น ปั่นจนน่องปูด ก็ไม่เกิน 50 บาท คืนได้ภายใน 6 โมงเย็นครับ
เริ่มสตาร์ท..... สำหรับจุดแรกที่ผมจะไปเช็คอินนั้นก็คือ “พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านหมู่ 2” ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นบ้านของลุงแดง ซึ่งลุงแดงแกเป็นชาวบางกะเจ้าตั้งแต่กำเนิด
ภายในพิพิธภัณฑ์นี้ก็เต็มไปด้วยของเก่าแก่ ของใช้ โบราณมากมาย ซึ่งของบางชิ้นผมเองยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ ส่วนของทั้งหมดนี้เป็นของลุงแดงเกือบทั้งหมด
หากใครสนใจของเก่าแก่เหล่านี้ก็แวะมาเยี่ยมชมกันได้ ลุงแดงแกจะคอยต้อนรับพร้อมให้ความรู้กับทุกๆคนเลยครับ เรียกกันได้ว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ในชุมชนที่ดีเยี่ยมอีกแห่งหนึ่งเลยครับ
หลังจากที่ปั่นจักรยานกันชมวิถีชีวิตกันมาพักใหญ่ ท้องเริ่มร้อง ลำไส้เริ่มงอแง งั้นเราไปต่อกันจุดถัดไป นั้นก็คือ “โกดังผัก”
สำหรับใครที่เป็นสายเฮลตี้คือต้องมาลอง ที่นี่เริ่มจาก คุณเจก รัตนตั้งตระกูล(ผู้ประกาศข่าว) เค้าตั้งใจที่จะปลูกผักสลัดไว้ทานเองบริเวณหลังบ้าน ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์บนพื้นที่สีเขียวบางกระเจ้า คุณเจกจึงไปเรียนปลูกผักสลัดแบบไฮโดรโปนิกส์ไร้สารพิษ บลาๆๆ
จนเกิดมาเป็นไอเดีย การทำร้านแบบ Farm to Table เน้นเก็บผักสดๆแบบวันต่อวัน และเมนูที่ทางร้านแนะนำคือ “โกดังสลัด” และ “น้ำฝรั่งคั้น”
สรุปแบบตรงๆ “อร่อยมาก”
ผักสลัด มีท็อปปิ้ง เป็นยำสาหร่าย ปูอัด แซลมอนรมควัน ทานคู่กับน้ำสลัดสูตรพิเศษของทางร้าน รสชาติหวาน มัน ติดเปรี้ยวเบาๆ นับว่าเด็ดมากครับ ทุกอย่างที่ทางร้านแนะนำมามัน Mix เข้ากันสุดๆเลย...
ล้างปากด้วยน้ำฝรั่งหวานหอม ชื่นใจ แค่นี้ก็พอให้มีแรงได้ไปปั่นจักรยานต่อแล้วครับ
หลังจากอิ่มหมีพีมันกันแล้ว เราก็ปั่นต่อไปยังจุดเช็คอินต่อไป “พิพิธภัณฑ์ปลากัดไทย” ใครที่สนใจเจ้าปลากัดตัวเล็กตัวน้อยก็สามารถเข้ามาศึกษาหาความรู้กันได้ ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ต่างๆ การกินการอยู่ของพวกมัน...
ซึ่งนอกจากนี้ถ้าใครที่รักและเอ็นดูก็ยังสามารถซื้อกลับไปเลี้ยง ไปเพาะพันธุ์เองได้ด้วยนะครับ
สถานที่ไฮไลท์ต่อไปก็คือ ๆๆๆ "สวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติ ศรีนครเขื่อนขันธ์" เป็นสวนสาธารณะที่ที่น่าสนใจกว่าสวนสาธารณะทั่วไปคือ ที่นี่มีสภาพเหมือนป่าธรรมชาติ มีระบบนิเวศที่ดีมาก มีความร่มรื่นด้วยต้นไม้หลากหลายชนิด
ซึ่งสถานที่แห่งนี้นอกจากเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจแล้ว ก็ยังเป็นเป็นสถานที่ออกกำลังกายอย่างดีเยี่ยมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมปั่นจักรยานชมสวน ที่เป็นกิจกรรมยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนสวนบางกะเจ้า มีหอดูนก ให้ชมนก ชมไม้สวยๆ
หรือใครสนใจจะวิ่งออกกำลังกายให้ได้เหงื่อก็น่าสนใจ "วันก่อนผมก็มาวิ่งได้เยอะเลย ...ได้แหวน กระเป๋า เงินสด++" แฮร่ๆ นั้นวิ่งราวครับ 555+
ปั่นไปปั่นมาดูนาฬิกาก็เริ่มจะบ่ายแล้ว!!! ไปเช็คอินกันจุดต่อไปกันเลยครับ “ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง”
ที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่จัดว่าต้องมาให้ถึง เพราะเป็นตลาดน้ำที่ใกล้กรุงเทพมาก วันเสาร์ – อาทิตย์ ผู้คนจะคึกคักมากสักหน่อย จะปั่นจักรยาน หรือขับรถมาก็ได้ แล้วแต่สะดวก
ซึ่งมาแล้วเราจะได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านริมคลองพ่อค้าแม่ค้าหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ขายของเก่ง โดยเฉพาะป้าขายน้ำพริกป้าเล็ก(สุบิน) ฮ่าๆๆ ผมจ่ายไปหลายบาท (แต่ของเค้าอร่อยจริง)
ส่วนสินค้าก็มีทั้งของกิน ของใช้ ต้นไม้ ผักพื้นบ้าน อาหารท้องถิ่น ของที่ระลึกต่างๆ สำหรับผมเองที่นี่คือเป็นธนาคารฝากท้องให้เด็กอ้วนอย่างเราได้ดีมากๆเลยครับ ฮ่าๆ ๆ
และสถานที่ปิดท้าย... “BANGKOK TREE HOUSE” หลังจากที่เราปั่นจักรยานกันมาเหนื่อยๆ สถานที่สุดท้ายที่เราควรจะมาเช็คอินนั้นก็ควรจะเป็นคาเฟ่เก๋ๆ มีเครื่องดื่มเย็นๆ และบรรยากาศชิลๆ ให้เราได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติ มันก็จะดีไม่น้อยใช่ไหมครับ
สำหรับ “BANGKOK TREE HOUSE” ที่นี่จะเป็นคาเฟ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และเป็นรีสอร์ทสไตล์ Eco-Friendly ออกแบบตัวสถานที่ได้โมเดิร์นสุดๆ นำวัสดุธรรมชาติมาก่อสร้างและตกแต่งได้สวยงามมากครับ ทั้งสวยงาม ร่มรื่น และสงบมากทีเดียว
และผมแว่วๆ มาว่ารีสอร์ทที่นี่ต้องจองกันล่วงหน้าข้ามเดือน ข้ามปีกันเลยนะครับ
ส่วนอาหารก็ใช้ได้ เมนูเด็ดที่นี่สำหรับผมต้อง "ทีรามิสุ" เลยครับ หวาน หอม มัน ฉ่ำชื่นใจ...
จบกันไปแล้วกับทริปนี้ สำหรับทริปหน้าพี่หมีจะไปลันลาที่ไหน... ไม่บอกดีกว่า!!
สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปตากอากาศเย็นๆ สูดอากาศให้ฉ่ำปอดกันอีกสักนิด #ติดดอยลัลลา