คอนโดต่างๆ หลากแบรนด์ หลายรูปทรง ตรงเส้นสาทร-สีลม(แบบแท้จริง) มักจะมีราคาส่วนใหญ่ไม่ธรรมดาทั้งนั้น เราก็เลยมีร้านอาหารแถวนั้น ที่ราคาก็พิเศษเช่นกัน 5555
ร้านนี้มีชื่อว่า “The House on Sathorn” ตัวร้านอยู่ระหว่างตึกสาทรสแควร์และตึก W Hotel ถ้าขับรถมาก็ง่ายมากอยู่แยกสาทร-นราธิวาส ถนนสาทรเหนือนั่นเอง หรือใครมา BTS ก็สามารถลงที่สถานี ช่องนนทรี และเดินสกายวอล์ค ทะลุเข้าตึกสาทรสแควร์มาได้เลย
ซึ่งถ้าใครเคยดูภาพยนตร์เรื่องพรจากฟ้า ตอนน้องนายยยยย อาจจะร้องอ๋อขึ้นมาทันที… เพราะที่นี่เป็นสถานที่ถ่ายทำเรื่องนี้นั่นเองงงง
โดยเราขอเล่าประวัติที่มงที่มาสักนิดนึงงงง (นิดเดียวจริงๆ สัญญา 55555) ร้าน “The House on Sathorn” แวบแรกนี่คิดเลยว่าเหมือนบ้านในละครที่เจ้าขุนมูลนายอยู่ในสมัยก่อนเลย แต่ประเด็นคือดันเป็นเรื่องจริงนี่แหละ
เพราะเดิมทีเป็นบ้านของหลวงสาทรราชายุกต์ (ยม พิศลยบุตร) มาก่อน ซึ่งออกแบบในสไตล์โคโลเนียล หลังจากนั้นก็ถูกเปลี่ยนมือถ่ายโอนมาเรื่อย จนถึงปี 2561 รวมๆ แล้วก็ร้อยกว่าปีได้… จบ (เห็นไหมบอกแล้วสั้นๆ อิอิ)
คราวนี้มาที่เรื่องอาหารกันบ้างดีกว่า แต่ขอบอกก่อนว่าเราได้รับเชิญให้ไปกิน ดังนั้นเลยไม่รู้พวกราคาแต่ละจาน (ขอบอกเป็นราคารวมๆ ตอนจบละกันเนอะ) โปรดอภัยโทษให้เราด้วยยยยย แหะๆ
สตาร์ทที่ออเดิร์ฟ เรียกน้ำย่อยกันก่อน กับเมนู
“yellow fin tuna ceviche the bangkok way” ถ้าภาษาไทยบ้านเราก็ยำปลาทูน่านั่นเอง
โดยตัวโปรตีนหลักในจานนี้คือ yellow fin tuna ซึ่งส่วนใหญ่ร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยมักจะใช้ปลานี้ในการทำอาหาร เพราะมีขนาดและราคาไม่แพงมากนักเมื่อเทียบกับ Bluefin Tuna แต่ก็มีความอร่อยในตัวของมันเองนะเราว่า
นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมอื่นๆ อีกอย่าง ส้มโอ อโวคาโด หอมแดง ต้นหอม และผักอะไรไม่รู้อีกอย่างหนึ่ง (ถ้าใครรู้กระซิบบอกด้วย)
พอกินทั้งหมดรวมๆ กันแล้ว ใช้ได้อยู่นะ ได้เนื้อเต็มคำจากปลาทูน่า มีความเปรี้ยวนิดๆ จากส้มโอ เพิ่มกลิ่นหอมจากต้นหอมและหอมแดง เคี้ยวมันๆ จากอโวคาโด และมีความกรอบนิดๆ จากผักไม่รู้นาม 5555… จานนี้ถือว่าผ่านสำหรับเรา
ถัดมากับเมนู
“mixed mushroom soup” ซุปเห็ดเองค่าาา เนื่องจากเราไม่ใช่คนชอบกินซุปเท่าไหร่ เลยหันไปปรึกษาพี่ที่มาด้วยกันข้างๆ
คือถ้าใครชอบซุปเห็ดพี่เค้าบอกว่าอร่อยเลยหล่ะ รสชาติเข้มข้นกลมกล่อม และมีความมันแบบมันจริงๆ เอ๊ะ! สรุปนี่เห็ดหรือมัน 55555 ซึ่งแม้เราจะไม่ใช่ทางนี้ ก็เห็นด้วยนะว่ามันมันจริงๆ แต่พอเรากินไปเรื่อยๆ แอบเลี่ยนอ่ะ
แต่หันไปหาพี่เค้าอีกทีคือเกลี้ยงจาน เชื่อแล้วว่าอร่อยจริง ฮ่าๆๆ อย่างว่าอ่ะเนอะของแบบนี้นี่ขึ้นอยู่กับความชอบล้วนๆ
มาถึงจานหลักกันแล้ววววว… “grilled wagyu flank steak, mushroom orzotto, red wine honey sauce” ทำไมชื่อเมนูยาวจัง อิอิ
ง่ายๆ ก็สเต๊กเนื้อวากิว โดยมีข้าว Resotto ผสมกับ… ซุปเห็ดที่กินจานเมื่อกี้เลย 5555 ต่อด้วยซอสไวน์แดงน้ำผึ้ง
และเพราะเราไม่กินเนื้อนั่นเอง (แต่แอบชิมไปคำนะ จุ๊ๆ) ก็เลยต้องหันไปขอความเห็นพี่ที่มาด้วยกัน (เช่นเดิม) แน่นอนเนื้อวากิวเค้าทำออกมาได้ดี ถ้าคนกินเนื้อเป็นประจำจะรู้สึกว่าไม่เหนียว มีความนุ่มพอประมาณ และพอกินพร้อมกับส่วนประกอบอื่นๆ ในจาน มันมีความลงตัวเข้ากันได้ดีทีเดียวเชียว (พูดเหมือนกินเองงงง แต่ป่าวเลย พี่เค้าบอกมา คิคิ)
ส่วนเรานั้นก็เลยได้เป็นเมนู “ฉู่ฉี่กุ้ง” มาพร้อมกับข้าวสวย… อืมหืมมมมม สีส้มสวยงามน่าทานมาก มองด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าต้องเข้มข้นมากแน่ๆ
พระเอกของจานอย่างกุ้ง ก็ตัวใหญ่ และสำหรับนางเอกนั่นคือหอย ก็มีขนาดไม่น้อยหน้ากัน เรียกได้ว่าสูสี ยิ่งพอเอาน้ำแกงราดบนข้าวสวยร้อนๆ และกินพร้อมกันทั้งหมดนะ… ฟินนนนนนน บอกเลยว่ารับรองจานนี้ไม่ผิดหวังแน่นอนนนนนน
ของปิดท้ายจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยถ้าไม่ใช่ขนม “chocolate profiterole” มันคือโปรฟิเทอร์โรล เป็นขนมต้นตำหรับจากฝรั่งเศส หรือเรียกว่าพัฟครีม ก็ลักษณะทำนองเดียวกับชูครีม เสิร์ฟคู่กับไอศกรีมวานิลลา 3ก้อน และซอสช็อกโกแลต
ตัวพัฟครีมงานดีเวอร์!!! มีความกรอบนอกนุ่มใน กินง่ายเคี้ยวไม่ยาก ส่วนไอศกรีมก็… ไอศกรีมอ่ะ 5555 แต่ช็อกโกแลตนี่เด็ดสะระตี่มากกกก คือเค้าไม่ได้แค่ราดๆ นะ แต่ให้มาแบบนองจานอ่ะ ดี๊ดี!!!
งานนี้ใครสายของหวานแวะมาเถอะ ไม่เสียใจชัวร์ (แต่ใครที่บอกชอบของหวานแต่ไม่ชอบหวาน อาจไม่ถูกใจนะ เพราะเมนูนี้หวานมากกกก ฮ่าๆๆ)
เบ็ดเสร็จนี่เราแอบเห็นว่ามีราคา… 1,800 บาท ++… โอ เอ็ม จี กันเลยทีเดียววววว
ถ้าถามว่ากินทั้งหมดนี้และให้จ่ายตังค์เอง โอเคไหม?... บอกเลยว่าไม่อยู่แล้วคร้าบพี่น้อง!!! เอ้อออ แต่ถ้ากินสองคนแล้วหารกันก็พอไหว หรือเลือกเสียสตางค์บางเมนู อันนี้เรายอมนะ
คือรสชาติเค้าไม่ได้แย่อ่ะค่อนไปทางดีถึงดีกลางๆ ด้วยซ้ำ ซึ่งเราว่าชาวแนวสูงทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในละแวกแถบนี้ เกิดสนใจอยากแวะเวียนมาลองชิมบ้างก็ไม่ผิดอะไรนะ เพราะของแบบนี้… มันต้องลองเอง ถึงจะรู้!!!