มีหลายคนที่รู้ว่าผมซื้อคอนโดที่ไหน แล้วชอบมาทักผมว่า "ทำไมไม่เห็นในกรุ๊ปไลน์ของลูกบ้านเลย" ผมตอบตรงนี้ได้เลยนะครับว่า "ผมไม่เคยอยู่ในกรุ๊ปไลน์ลูกบ้านของโครงการไหนเลย"
เหตุผลก็คือ ผมคงจะไม่ได้หลับได้นอนแน่นอน ถ้าเข้าร่วมทุกกรุ๊ป ฮ่าๆๆ
ใครที่อยู่ในกรุ๊ปไลน์เหล่านี้ก็คงจะเข้าใจสิ่งที่ผมบอกนะ คือผมก็พอรู้แหละ เพราะพี่ชายผมเข้าทุกกลุ่มเหมือนกัน เค้าบอกว่า ตีสอง ตีสาม ยัง "ตุ๊งๆๆๆๆ" มาตลอดเลย หลังๆ เลยปิดเสียง แล้วค่อยมาอ่านทีเดียว
แต่จริงๆ ผมจะบอกว่ากรุ๊ปไลน์เหล่านี้มีประโยชน์มากนะครับ มันทำให้เรารู้ปัญหาของโครงการ และหนทางในการแก้ไข แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือมันเป็นการสร้างพลังและความแข็งแกร่งให้กับผู้อยู่อาศัยและเชื่อว่ามันจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงของคุณภาพของโครงการที่ดีขึ้นจากดีเวลลอปเปอร์ .... ยังไงน่ะเหรอ?
ผมขอย้อนกลับไปที่หัวข้อก่อน "Disruptive technologies กับ Social Network ที่นำไปสู่ความแข็งแกร่งของผู้อยู่อาศัย"
ถ้าจะพูดถึง Disruptive technologies ที่เกี่ยวข้องกับแวดวงคอนโดโดยตรงก็คงจะมีหลายอย่าง เช่น พวกระบบ Home Automation ต่างๆ ที่ถูกนำมาใช้ในโครงการ พวกคำสั่งเปิดปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าจาก Application เนี่ย ในอีกไม่นานมันจะกลายเป็นเรื่องปกติไป เหมือนยุคนึงที่ "โทรศัพท์มือถือมีกล้อง" กลายเป็นว่า "ถ้าไม่มีกล้องสิแปลก (นี่มันใช่มือถือเหรอ!?!?)"
ผมว่ามันยังจะมาอีกเรื่อยๆ อย่าง "Smart Mirror" นี่ผมก็ชอบนะ เพราะเวลาเข้าไปอึ ก็อยากฟัง Youtube แต่ไม่อย่างเสี่ยงเอามือถือไปตกส้วม ฮ่าๆๆ
ในมิติอื่นที่ Technologies เข้าไปเปลี่ยนแปลงก็เช่น การจองคอนโดแบบ ibooking ที่ทุกเจ้านำมาใช้มากขึ้นเรื่อยๆ หรือการแจ้งซ่อมที่เดี๋ยวนี้ใช้ผ่าน Line กันหลายเจ้าแล้ว (สามารถจองเวลาใน Line ได้เลยนะ สะดวกมว้ากกก)
สิ่งเหล่านี้มันคือการเปลี่ยนแปลงแบบ Direct ที่ผมพอจะเห็นจากคอนโดในทุกวันนี้ แต่สิ่งที่ผมคิดว่ามันเกิดจาก Technologies นี่แหละ แต่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแบบทางอ้อม แต่ทรงพลังเหลือเกินก็คือ Social Network
ย้อนกลับไปที่กรุ๊ปไลน์ลูกบ้านข้างต้น ผมมีเคสเป็นร้อยๆ เคสที่แฟนเพจหรือคนรอบข้างเล่าให้ฟังว่า "เพราะกรุ๊ปไลน์ลูกบ้านเลยนะ ถึงแก้ปัญหาได้" .... ย้ำว่าเป็นร้อยๆ เคส
ล่าสุดเห็นว่ามีโครงการนึง (ผมเคยถือไว้ด้วย) สามารถเปลี่ยนแปลงวัสดุบางอย่างที่ดีเวลลอปเปอร์ให้มาแบบ "ไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภค" หลายสิบรายการเลยทีเดียว (อย่างกะรีโนเวตตึก ทั้งๆ ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ฮ่าๆ)
นี่แหละครับ "พลังของ Social Network"
ซึ่งเสียงเหล่านี้แหละที่ "ดีเวลลอปเปอร์" ควรจะเงี่ยหูฟัง เพราะมันคือแหล่งวัตถุดิบชั้นดีที่คุณจะเอาไปพัฒนาคุณภาพสินค้าของคุณได้!!!!
บางอย่างไม่ได้ลงทุนเยอะแยะเลย บางทีแค่อาจจะนึกไม่ถึง แต่เป็นประโยชน์กับคนอยู่อาศัยจริงมากๆ
บางอย่างอาจจะลงทุนสูง ดูล้ำสมัย แต่จริงๆ เค้าไม่ได้ใช้งาน หรือใช้งานยากมาก คุณก็จะได้เซฟคอสเรื่องนี้ไปใช้ทำเรื่องอื่นที่จำเป็นมากกว่าได้อีก
ถ้าผมเป็นฝ่าย R&D ของดีเวลลอปเปอร์นะ ผมจะให้พนง.แฝงตัวเข้าไปอยู่ในกรุ๊ปไลน์ลูกบ้านแต่ละโครงการแบบประจำเลย งานหลักคือการเฝ้าดูปัญหาต่างๆ ที่ลูกบ้านแจ้งเข้ามา โดยเฉพาะในช่วงแรกที่โอนเนี่ยแหละ ปัญหาจะเยอะที่สุดเลย ฮ่าๆ
จริงๆ อาจจะมีบางบริษัททำแล้วก็ได้นะ ซึ่งผมคิดว่าเป็นข้อดีกับทั้ง 2 ฝ่ายเลย ดีเวลลอปเปอร์ก็จะขายของได้ง่ายขึ้น เพราะสินค้าตรงใจลูกค้า ส่วนลูกค้าก็จะได้ของที่ตรงความต้องการมากขึ้นเช่นกัน
แล้วถ้าย้อนกลับไปตอนที่ 1 ของบทความนี้ เรื่องที่ดินทำเลดี ที่แพงขึ้นทุกวัน ถ้าคุณไปเลือกพัฒนาที่ดินที่ทำเลด้อยลงมาเล็กน้อย แต่ถ้าคุณทำสินค้าให้มีคุณภาพมากกว่า คุณก็ยังมีสิทธิ์ชนะอยู่นะ!!! (ทั้งดีเวลลอปเปอร์ที่ชนะในยอดขาย และผู้บริโภคที่ชนะในเรื่องคุณภาพของการอยู่อาศัยหรือการประหยัดราคาคอนโดลงจากที่ดินที่แพงมาก) WIN-WIN นะครับเนี่ย
นี่คือคอนโด 2019 ที่เปลี่ยนแปลงไปในความคิดของผม Disruptive technologies เข้ามาเปลี่ยนแปลงในทุกบริบทของสังคมนั่นแหละ ซึ่งถ้าเราใช้มันให้เป็นประโยชน์มันก็อาจจะไม่ได้ "Disrupt" เราให้รำคาญเหมือนชื่อของมัน แต่จะเป็นประโยชน์ให้กับพวกเราทั้งหมดด้วยซ้ำ
นานๆ จะเขียนแบบมีสาระบ้างนะ จบซะที ไปละ อิอิ
#สาระบนดอย