เชื่อว่าหลายคนที่ต้องเดินทางบนถนนลาดพร้าวอยู่บ่อยๆ คงต้องหนักใจ และเบื่อหน่ายเวลารถติดช่วงเร่งด่วนแน่ๆ เพราะการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวบนถนนลาดพร้าวนั้น เป็น 1 ในถนนที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำให้เรามีเวลาว่างใช้ในรถยนต์เยอะเลยนะ 555
สำหรับตัวผมแล้วแต่ก่อนก็ใช่นะ แต่เดี๋ยวนี้หรอ... สบายยยย~~~
เป็นเพราะได้ไปเยือนโครงการหนึ่งแท้ๆ ทำให้เจอทางลัดที่ทะลุทะลวงไปได้หลายเส้นทาง ซึ่งซอยนั้นก็คือ "ลาดพร้าว 18" อันเป็นที่ตั้งของโครงการ "GROOVE VIBES LADPRAO 18" ที่ผมจะพาไปดูกันในวันนี้นั่นแหละ
เอาจริงๆ คนที่อาศัยอยู่ในโซนลาดพร้าว ก็มักจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าในซอยลาดพร้าวต่างๆ บนถนนลาดพร้าวนั้นล้วนเป็นตาข่ายที่แตกแขนงให้เราใช้เป็นเส้นทางลัดไปยังที่อื่นๆได้อย่างหลากหลาย
ซอยลาดพร้าวด้านเลขคู่โซนนี้ สามารถไปทะลุออกได้ถึง 2 เส้นทาง ใครที่จะไปด้านพระราม 9 ก็ทะลุไปออกเส้นรัชดา หรือใครที่จะเข้าเมืองก็ลัดไปออกฝั่งวิภาวดีก็ได้ แถมยังขึ้นลงรถไฟฟ้าสะดวกกว่าด้วย
จากที่บอกไป เห็นได้ว่าโครงการ "GROOVE VIBES LADPRAO 18" นั้นมีทำเลการเดินทางที่น่าสนใจมาก แถมสิ่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการก็มากมายรอบด้านเลย
ว่าแล้วก็ไปเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่า ลุย!!!
สำหรับการเดินทางไปเยี่ยมชมโครงการของผมในวันนี้ ผมเลือกใช้รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน ใกล้ที่สุดก็จะเป็น "สถานีลาดพร้าว ทางออกที่ 2" ที่มีระยะเดินเท้าจากตัวโครงการประมาณ 750 เมตร ถ้าเข้าทางปากซอยลาดพร้าว 18
แต่ถ้าใครจะเดินจริงๆ ผมแนะนำให้เข้าทางซอยลาดพร้าว 20 ดีกว่า เพราะเหลือระยะแค่ 650 เมตร เดินประมาณ 10 นาทีก็ถึงล้าวววว
และในอนาคต อีกไม่นานบริเวณแยกรัชดา - ลาดพร้าวนี้ก็จะมีรถไฟฟ้าสายสีเหลืองมาตัดผ่านด้วย ถึงแม้ตัวสถานีรัชดาของสายสีเหลืองต้องข้ามถนนไปฝั่งอาคารจอดแล้วเดิน แต่ข้างในอาคารก็น่าจะมีการทำทางเชื่อมรถไฟฟ้าทั้งสองสายคอยอำนวยความสะดวกให้พวกเรายิ่งขึ้นแน่นอน
ตลอดทางที่ผมเดินสำรวจซอยลาดพร้าว 18 ต้องยอมรับว่าเป็นซอยที่อุดมสมบูรณ์มากๆ
ตั้งแต่ปากซอยเข้ามาประมาณ 200 เมตร เต็มไปด้วยร้านค้า และแผงขายอาหาร มี Minimart หลากหลายยี่ห้อ เช่น Lotus Express และร้านสะดวกซื้อขวัญใจชาวเราอย่าง 7-Eleven ก็มีเช่นกัน
บรรดาอาหารก็มีให้เลือกหลากหลายมาก ส่วนใหญ่เป็นพวกรถเข็น หาบเร่ และแผงข้างทางเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็พอมีร้านที่เป็นอาคารพาณิชย์ให้เราได้นั่งกิน นั่งทานเลยอยู่บ้างพอสมควร ราคาก็ถือว่าน่ารักตามประสาชุมชนที่อยู่อาศัย เริ่มต้น 30-40 บาทก็อิ่มท้องได้
ส่วนใครที่อยากได้ของกินของใช้ที่มากกว่านั้นแล้วขยันเดินหน่อยผมก็อยากแนะนำ Big C Extra ที่ตั้งอยู่เยื้อง ๆ กับปากซอยลาดพร้าว 18 ถ้าเดินจากโครงการไปก็มีระยะเดินเท้าประมาณ 1 กิโลเมตร ออกปากซอยไปเลี้ยวซ้ายแล้วข้ามสะพานลอยก็จะถึงเลย เดินได้สบายๆ ถ้าฝนไม่ตก หรือแดดไม่แรงจนเกินไปนะ 555
ลืมบอกไปว่า Big C Extra สาขานี้มี Home Pro ด้วยนะ ไว้ให้เพื่อนๆ ได้ไปเลือกซื้อของใช้ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ได้อย่างสะดวกขึ้นไปอีก นอกจากนี้แล้วถ้าใครที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นหลัก ก็สามารถแวะที่ Gourmet Market ภายในสถานีลาดพร้าวได้ด้วย
Gourmet Market สาขานี้ผมว่าใหญ่เลยนะ มีส่วนของร้านอาหารที่ให้สั่งแล้วรับประทานที่นั่นเลยด้วย ส่วนพวกของในซุปเปอร์นี่ก็ครบเครื่องตามสไตล์เค้าแหละ ยิ่งถ้าช่วงค่ำๆนี่ ไปเลือกดูของลดราคา อร่อยปาก สบายกระเป๋าแบบสุดๆ ผมเองชอบมากเลย 5555
ตำแหน่งที่ตั้งของโครงการ "GROOVE VIBES LADPRAO 18" อยู่เข้ามาในซอย 550 เมตร ทางด้านขวามือ(หันหลังให้ปากซอย) ใกล้ๆ กับลาดพร้าว 18 แยก 10 ซึ่งแต่ก่อนใครที่ผ่านแถวนี้ ก็คุ้นเคยกับการเป็นพื้นที่จอดรถขนาดใหญ่ แต่ตอนนี้กลายมาเป็นที่ตั้งของสำนักงานขาย และโครงการในอนาคต
ถ้าตรงต่อไปอีก สามารถลัดเลาะออกไปได้หลากหลายมาก เช่น สามารถมาออกรัชดาซอย 19 ได้ ซึ่งช่วยประหยัดเวลาตอนรถติดตรงแยกรัชดา-ลาดพร้าวได้พอควร ส่วนถ้าใครที่อยากเลี่ยงถนนลาดพร้าวก็มาใช้เส้นทางเข้าออกฝั่งวิภาวดีรังสิตซอย 20 ก็ได้ ซึ่งเส้นทางนี้สำคัญสุดๆ เพราะตอนเย็นๆ ถนนลาดพร้าวรถติดมาก เราเข้าเส้นนี้วิ่งกลับโครงการ จะสบายกว่าเยอะ
ทางออกฝั่งวิภาวดีนี่ นอกจากจะใช้ในการเดินทางได้สะดวกขึ้นแล้ว ยังช่วยให้เรามีสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้นอีกนะ เพราะเราสามารถไปกินข้าวซื้อของที่ "ตลาดลุงเพิ่ม" หลังตึกการบินไทยได้ด้วย ซึ่งถ้าใครจะไปจริงผมแนะนำให้นั่งพี่วินไปดีกว่านะ เพราะแถวนั้นหาที่จอดรถถยากมากๆเน้อออ
มากกว่านั้น ถ้าใครที่หาอะไรกินแถวตลาดลุงเพิ่มจนครบแล้ว หรืออยากกินอะไรง่ายๆสบายๆ ก็ไปแถวซอยโชคชัยร่วมมิตร (วิภาวดี 16) ได้ด้วย แถวนั้นมีร้านขายอาหารตั้งแต่เช้ามืดยันดึกดื่นเลย ที่สำคัญตรงนั้นเป็นซอยใหญ่หน่อย จะพอมีที่จอดได้อยู่บ้าง แต่ทางที่ดีกว่าไปพี่วินแหละ สบายใจกว่าเยอะ
ซึ่งถ้าใครจะโดยสารโดยที่พี่วินละก็ บอกเลยว่าราชรถมาเกยลูกบ้านทุกคนแล้วว
เพราะวินที่ใกล้ที่สุดก็อยู่ตรงหน้าโครงการบริเวณลาดพร้าว 18 แยก 10 เลย แค่เดินมาหน้าโครงการโบกมือหยอยๆ พี่เค้าก็มารับแบบไม่ต้องเดินตากแดด ตากฝนให้ปวดน่องเลย 555
กลับมาที่ตัวโครงการ "GROOVE VIBES LADPRAO 18" กันบ้าง...
ทันทีที่ผมเห็นสำนักงานขายก็ต้องบอกว่า ชอบนะ มันเท่แบบมีสไตล์ที่ไม่ค่อยได้เห็นจากโครงการอื่นๆ
ดูจากภายนอกจากจะออกแนวมินิมอล ไม่ค่อยเน้นดีเทลที่มากจนรู้สึกว่าล้นเกินไป แต่พอเริ่มเดินเข้าไปภายในนี่ผิดคาด เพราะที่นี่เค้าแฝงรายละเอียดทุกเม็ด ทุกพื้นที่ ทุกตารางนิ้ว
ที่สะดุดตาก่อนใคร ก็ผนังภายในสำนักงานขายก่อนเลย
เค้าใช้เป็นแผ่นโลหะที่มีรูหลากหลายขนาดกระจายตัวอยู่เต็มแผ่น เป็นดีไซน์ที่เค้าออกแบบขึ้นมาเอง และใช้วัสดุแบบเดียวกันนี้ในการเป็นผนังด้านนอกอาคารด้วย
ซึ่งส่วนที่เค้าเอามาใช้ก็จะเป็นส่วนของฉากกั้นระเบียงในแต่ละห้องพัก ผู้อยู่อาศัยสามารถเปิด-ปิด ปรับองศาได้ตามความชอบ ผลของมันก็คือจะทำให้แสงที่ผ่านแต่ละรู แต่ละช่องนี่แตกต่างกันไปตามช่วงเวลา ตามองศา ตามฤดูกาลด้วย
เป็นความใส่ใจเล็กๆน้อยๆ ที่ผู้อยู่อาศัยจริงน่าจะประทับใจในการสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ของแสงในทุกๆวัน
ก่อนเราจะเข้าไปดูห้องตัวอย่างกัน
ผมขอบิ้วท์อารมณ์เพื่อน ๆ ด้วยการเล่ารายละเอียดของโครงการ "GROOVE VIBES LADPRAO 18" ก่อน โครงการนี้เป็นอาคาร Low-Rise สูง 7 ชั้น 1 อาคาร มีจำนวนห้องพักอาศัยทั้งหมด 217 ยูนิต พร้อมด้วยที่จอดรถสูง 6 ชั้นภายในอาคารด้วย
สำหรับที่จอดรถของที่นี่เป็นแบบ Auto Parking ด้วยนะเออ ช่วยให้ประหยัดพื้นที่ และเพิ่มที่จอดรถได้ สามารถจอดรถได้ 86 คัน รวมกับที่จอดรถแบบปกติในชั้นที่ 1 อีก 12 คัน คิดอัตราส่วนรวมแล้วที่จอดรถก็มากถึง 45% หายห่วงเรื่องที่จอดรถไม่เพียงพอไปได้พอควร
พื้นที่ส่วนกลางของที่นี่ทำเอาผมแปลกใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เพราะเค้าเลือกที่จะนำพื้นที่ส่วนกลางส่วนใหญ่ไปไว้ชั้นใต้ดิน!!!
อ่านไม่ผิดนะทุกคน เค้าเอาไปไว้ใต้ดินจริงๆ
มีทั้งพื้นที่นั่งเล่น-ทำงาน ห้องเล่นเกมส์ คาเฟ่ ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้าระบบน้ำแร่ รวมถึง JACUZZI ยาว 24 เมตรด้วย
แต่ก็ใช่ว่านั่นจะเป็นส่วนกลางทั้งหมดนะ จากแปลนจะเห็นว่าเค้ายังมีดาดฟ้าที่จัดทำเป็นพื้นที่ส่วนกลางด้วยเช่นกัน โดยทำเป็น Roof Garden ขนาดใหญ่เต็มพื้นที่อาคาร ใครที่ชอบพื้นที่สีเขียวเยอะๆ ขึ้นมาสูดอากาศให้ฉ่ำปอดกันได้เลย
มาถึงไคล์แมกซ์ ที่ตัวผมเองตื่นตาตื่นใจมากเป็นพิเศษ ก็คือการออกแบบพื้นที่ใช้สอยของยูนิตที่นี่ มีความแปลกใหม่กว่าคอนโดทั่วไป ก่อให้เกิดพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น แถมยังเท่ตามสไตล์ Retro futurism เอาใจคนรุ่นใหม่อีกด้วย
รูปแบบห้องของที่นี่มีทั้งหมด 6 แบบ ขนาดและพื้นที่ใช้สอยก็แตกต่างกันออกไปตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น One Bedroom, One Bedroom Plus, Loft One Bedroom, Loft One Bedroom Plus แบบ 1 ห้องน้ำ, Loft One Bedroom Plus แบบ 2 ห้องน้ำ และสุดท้าย One Bedroom Villa ขนาดเริ่มต้นที่ 20.10 ตารางเมตร ไปจนถึงใหญ่สุด 36.43 ตารางเมตร
จากรูปแบบห้องทั้งหมดนั้น ทางโครงการก็ได้เลือกมาทำเป็นห้องตัวอย่างให้เราได้ไปชมกันถึง 3 แบบ
แต่ละห้องจะน่าสนใจยังไง ทำไมผมถึงบอกว่าน่าสนใจ ตามไปดูกันเลย!!!
ห้องตัวอย่างที่ 1 - One Bedroom ขนาด 20.77 ตารางเมตร
เริ่มที่ห้องแรกที่เป็นน้องเล็กสุดของโครงการนี้กันก่อน... ห้องนี้เป็นห้องแบบ 1 ห้องนอน ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีจำนวนเยอะที่สุดในโครงการ (95 ยูนิต) ขนาดห้อง 20.45-25.40 ตารางเมตร ผมว่ากำลังเหมาะเลยสำหรับคนที่อยู่คนเดียวเป็นหลัก หรือถ้าใครจะอยู่เป็นคู่ก็อบอุ่นไปอีกแบบนะ
เข้ามาส่วนแรก เราจะเจอกับพื้นที่จัดเตรียมอาหารทางด้านซ้ายมือที่ขนาดอาจจะไม่สามารถทำอาหารแบบหนักหน่วงได้เท่าไหร่ แต่ถ้าทำกินเองเล็กๆน้อยๆ ก็สะดวกสบาย ถัดเข้าไปอีกนิด จะเป็นส่วนของพื้นที่นั่งเล่น ซึ่งมีการแบ่งพื้นที่กับห้องนอนด้วยกระจกบานเลื่อนแบบ 3 ตอน ทำให้มีระยะการเปิด กว้างมากขึ้น เดินไปมาได้อย่างคล่องตัวดี
ในส่วนของพื้นที่นั่งเล่น พอเข้ามา รู้สึกได้เลยว่ากว้างพอควร ตัวโซฟาออกแบบให้มีการฝังตัวอยู่กับผนังระเบียง และกระจกบานเลื่อนเข้าห้องนอนแบบพอดิบพอดี
ระยะการชมทีวีก็ถือว่ากว้างมาก แบบนอนยืดขาจากโซฟาแล้วยังเหลือๆ ผิดวิสัยห้องขนาดประมาณ 20 กว่าตร.ม. ที่มักมีระยะที่ใกล้กว่านี้
ทางด้านขวาของโซฟาเป็นกระจกบานเลื่อนแบบ 2 ตอนออกไปสู่ระเบียงบริเวณระเบียงเราสามารถวางเครื่องซักผ้าใต้คอมเพรสเซอร์แอร์ได้ แอร์ในห้องนี้ทางโครงการได้ติดตั้งมาให้เรา 2 จุด คือเหนือชั้นวางทีวี และในห้องนอน
ห้องนอนของห้องนี้สิ่งที่ผมชอบสุดก็คือ ผนังด้านข้างเตียงมีการออกแบบให้เป็นกระจกแบบเต็มบาน ทำให้ได้รับวิวภายนอก และแสงจากธรรมชาติได้อย่างดี ส่วนอีกด้านของเตียงจะเป็นส่วนของห้องน้ำ และตู้เสื้อผ้า
ใครที่ชอบห้องน้ำแบบแยกส่วนเปียกส่วนแห้งนี่น่าจะชอบห้องนี้เป็นพิเศษนะ เพราะเค้าแยกทั้ง 2 ส่วนเป็น 2 ห้องไปเลย ทางด้านซ้ายเป็นส่วนอาบน้ำที่เปิดเข้าไปแล้วเป็นส่วนเปียก เวลาอยู่อาศัยคงต้องระมัดระวังเรื่องความชื้นกันซักหน่อย
ส่วนทางด้านขวาเป็นห้องสุขาที่มีอีกประตูไว้ให้เข้าออกจากโซนพื้นที่นั่งเล่นได้ อันนี้ผมชอบนะ เวลาพาเพื่อนมาห้องแล้วจะเข้าห้องน้ำก็ไม่ต้องเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเรา ลืมบอกไปว่าพื้นที่ระหว่างห้องอาบน้ำ และห้องสุขา มีตู้เสื้อผ้าที่บิ้วท์อินพอดีกับพื้นที่ ขนาดกำลังดีเก็บเสื้อผ้าได้เยอะพอควร
ห้องตัวอย่างที่ 2 - One Bedroom Plus ขนาด 31.40 ตารางเมตร
ต่อกันเลยกับห้องที่สเกลใหญ่ขึ้นมาหน่อย กับห้องรูปแบบ 1 ห้องนอนเช่นกัน แต่มีการ Plus เพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้อีก 1 ห้อง
ตอนได้ไปดูจากห้องจริงแล้ว รู้สึกเองว่าอย่างกับเหมือนเพิ่มมาให้ถึง 3 ส่วนกันเลยทีเดียวนะ 555
ส่วนแรกที่ผมรู้สึกว่าเหมือนเพิ่มให้แบบจัดเต็มมากก็คือพื้นที่จัดเตรียมอาหาร ที่พอเราเข้าไปในห้องแล้ว จะอยู่ทางด้านขวามือ ที่บอกว่าจัดเต็มก็เพราะ เค้ามีการติดตั้งกระจกไว้สำหรับกั้นโซนนี้ให้ถึง 2 ทาง ช่วยกันกลิ่นจากการทำอาหารหนักๆได้
โซนนี้จากสเกลแล้วเอาจริงๆ กว้างพอจะเรียกว่าเป็นห้องครัวเลยก็ได้ มีการแยกเคาท์เตอร์เตาไฟ และเคาท์เตอร์ซิงค์ล้างจานอยู่คนละฝั่งด้วย ซึ่งฝั่งซิงค์ล้างจานนี่เป็นเคาท์เตอร์ยาวหันหน้าออกทางทีวี สามารถนั่งกินข้าวไป ดูทีวีไปได้ แฮบบบบปี้
ถัดมาจากโซนเตรียมอาหารจะเป็นพื้นที่ส่วนนั่งเล่นที่ต้องบอกก่อนเลยว่ากว้างมากกกกกก เหมาะกับวัยรุ่น หรือใครก็ตามที่ชอบนอนเกลือกกลิ้งดูทีวี ดูซีรี่ส์ ดูเน็ตฟลิกแบบผมสุดๆ ยิ่งซื้อโซฟาเบดหรือ L-Shape มาลงนะ ลืมโลกภายนอกไปเลย 5555
ส่วนในสุดต่อจากพื้นที่นั่งเล่นจะเป็นส่วนที่ Plus ขึ้นมา
มีลักษณะเป็นห้องที่กั้นขึ้นแบบเป็นสัดส่วนด้วยกระจกบานเลื่อนแบบ 3 ตอน เราสามารถเลือกเองได้เลยว่าจะใช้งานเป็นห้องอะไร จะทำเป็นห้องทำงาน ห้องนอนเล็ก หรือห้องอะไรก็ได้หมดเพราะมีขนาดใหญ่พอควร แถมเชื่อมต่อกับระเบียงได้แสงธรรมชาติด้วย
ด้านข้างห้อง Plus เป็นทางเข้าสู่ห้องนอนที่มีขนาดใหญ่กว่าห้อง One Bedroom อย่างเห็นได้ชัด
ผนังด้านข้างเตียงยังคงออกแบบเป็นกระจกแบบเต็มบานไว้คอยรับวิว และแสงธรรมชาติเช่นกัน ที่สำคัญห้องนอนนี้ยังเชื่อมต่อกับอีก 1 ส่วนที่เหมือนเพิ่มเข้ามานั่นก็คือ Walk-in closet ที่เอาใจคนชอบแต่งตัว หรือคนที่มีเสื้อผ้าเยอะๆได้อย่างดี
มีโต๊ะเครื่องแป้งไว้ให้นั่งแต่งหน้าทาครีมได้ด้วย
ต่อจาก Walk-in closet เป็นส่วนของห้องน้ำ ห้องน้ำของห้องนี้จะไม่ได้มีการแยกส่วนเปียกส่วนแห้งมาให้แบบชัดเจน แต่ก็มีกระจกบานเลื่อนแบบ 2 ทางไว้กั้นส่วนอาบน้ำให้ ทำให้ด้านการใช้งานก็ไม้ต้องกลัวว่าพื้นด้านนอกจะเปียก
ห้องน้ำนี้ยังมีประตูทางเข้าออกอีกทางบริเวณตรงข้ามพื้นที่ส่วนเตรียมอาหารด้วยนะ ถ้าใครปรับห้อง Plus เป็นห้องนอนเล็กก็สามารถมาใช้ห้องน้ำจากประตูนี้ได้ ไม่ต้องเข้าผ่านทางห้องนอนใหญ่ให้เสียความเป็นส่วนตัว
ห้องตัวอย่างที่ 3 - Loft One Bedroom ขนาด 20.77 ตารางเมตร
มาถึงจุดไคล์แมกซ์ของวันนี้กันดีกว่า... นั่นก็คือห้องแบบ Loft ขนาด 20.77 ตารางเมตร
ที่ต้องพูดแบบนี้ก็เพราะส่วนตัวแล้วเป็นห้องที่ผมชอบที่สุด ด้านพื้นที่ใช้สอยมีออกแบบมาอย่างดี ตอนที่อยู่ในห้อง ได้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านเลย
เข้าไปส่วนแรก เราจะเจอกับพื้นที่นั่งเล่นก่อน
ส่วนนี้ต้องบอกก่อนนะว่าระยะการดูทีวีอาจจะไม่ได้กว้างเหมือน 2 ห้องที่ผ่านมา แต่ก็ยังถือว่ากว้างแบบนั่งโซฟาดูได้ไม่เสียสายตา ด้านข้างโซฟาในสุดจะเป็นพื้นที่ระเบียงที่ขนาดกำลังดี
ฝั่งตรงข้ามโซฟาจะเป็นบันไดขึ้นสู่ด้านบน เคาท์เตอร์ทีวี และพื้นที่จัดเตรียมอาหารตามลำดับ ส่วนเตรียมอาหารมีกระจกบานเลื่อนกั้นเข้าไปเป็นห้องครัวแบบปิดเลยนะ ทำอาหารหนัก ๆ ได้ไม่ต้องกลัวเรื่องกลิ่นรบกวน
ก่อนขึ้นบันไดไปด้านบน จะเจอกับห้องน้ำอยู่ทางด้านขวามือ ซึ่งจุดนี้พอเข้าไปแล้วเหมือนอยู่บ้านเลยจริงๆนะ
อย่างตรงส่วนใต้บันไดที่ออกแบบให้เป็นที่วางเครื่องซักผ้านี่ ถือว่าเป็นการจัดสรรพื้นที่ได้ดี ที่สำคัญห้องน้ำกว้างมาก แบ่งโซนเปียกโซนแห้งแบบเป็นสัดส่วนดีด้วย
ในห้องน้ำนี้ผมแอบสะดุดตากับกระจกเหนืออ่างล้างหน้าเป็นพิเศษ เพราะเป็นกระจกที่มีไฟเป็นกรอบรอบบานด้วย สอบถามดูแล้วก็ได้ความว่าเค้าแถมให้แบบนี้เลยนะเออ ไม่ใช่แค่ห้องนี้แต่ทุกๆยูนิตในโครงการเลย
ขึ้นไปชั้นบนที่เป็นส่วนของห้องนอนกันต่อ
ภายในโซนนี้ขึ้นมาก็จะเจอกับตู้เสื้อผ้าที่อยู่ตรงกับบันไดก่อนเลย ถัดไปด้านข้างเป็นเตียงขนาดใหญ่ที่สามารถมองลงไปสู่งพื้นที่นั่งเล่นด้านล่างได้
ส่วนทางด้านปลายเตียงก็สามารถมองออกไปภายนอกอาคารได้ เพราะผนังด้านข้างบันไดเป็นกระจกแบบเต็มบานสูงถึงเพดานส่วนห้องนอน
อีกหนึ่งจุดเด่นของห้องนี้ก็คือไฟส่องสว่างภายในห้อง ที่เค้าออกแบบให้มีความแตกต่างจากห้องอื่นๆ ที่มักเป็นไฟดาวน์ไลท์
แต่สำหรับห้องนี้จะมีการติดตั้งโคมขนาดเล็กกระจายตัวอยู่บนเพดาน ทำให้รู้สึกสนุกแล้วก็ได้บรรยากาศที่แปลกใหม่ดี แต่ทั้งนี้ต้องบอกก่อนนะว่าแชนเดอเลียร์หรือโคมไฟระย้าอันใหญ่นั้นเค้าไม่ได้แถมให้นะเออ 555
เป็นยังไงกันกันบ้างสำหรับห้องตัวอย่างทั้ง 3 แบบ 3 สไตล์
ถ้าใครโดนใจแบบผมก็เตรียมลากกระเป๋าเข้าอยู่แบบไม่ต้องคิดเรื่องตกแต่งเลย เพราะที่นี่เค้าเค้าขายแบบ Fully Furnished แต่งให้ครบแบบจุกๆ ในราคาเริ่มต้นแค่ 1.99 ล้านบาทเท่านั้น!!!
เรื่องตกแต่งนี่เค้าให้เหมือนในห้องตัวอย่างเกือบทั้งหมดเลยนะ สังเกตเอาจากสติกเกอร์โลโก้ของโครงการก็ได้ เค้าติดไว้ชัดเจนเลยว่าถ้าเฟอร์นิเจอร์ชิ้นไหนที่ให้พร้อมห้องเค้าก็จะติดสติกเกอร์ไว้ ไม่ต้องมานั่งสงสัยว่าชิ้นไหนได้ไม่ได้
เอาตรงๆผมว่าที่นี่เค้าออกแบบพื้นที่ใช้สอยได้แปลกใหม่ดีนะ ทั้งพื้นที่ส่วนกลางที่ทางโครงการเลือกนำไปไว้ชั้นใต้ดิน ตอบโจทย์การใช้งานของคนรุ่นใหม่ที่มีความยืดหยุ่นเรื่องเวลา จะฝนตก แดดออก หรือต้องการความเป็นส่วนตัวแค่ไหนก็ใช้ส่วนกลางได้แบบจัดเต็ม
พื้นที่ใช้สอยในห้องพักก็เช่นกัน เค้าออกแบบโดยคิดถึงคนอยู่อาศัยอย่างพวกเราจริงๆ แต่ละห้องได้รับแสงจากธรรมชาติอย่างเต็มที่ เวลาอยู่ไม่รู้สึกอึดอัด ที่เก็บของก็เยอะ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านสุดๆ
สุดท้ายนี้ถ้าใครสนใจจริงก็ไปดูห้องตัวอย่างที่สำนักงานขายที่ลาดพร้าว 18 กันได้เลย แนะนำให้เดินจากปากซอยเลยนะ ของกินเพียบ หรือจะลองศึกษาเพิ่มเติมที่
คลิกที่นี่ ก่อนก็ได้ อย่าลืมลงทะเบียนก่อนไปเพื่อรับสิทธิพิเศษมากมาย
ใครที่กำลังมองหาที่อยู่โซนนี้ผมขอแนะนำโครงการนี้เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจเลย "GROOVE VIBES Ladprao 18" คอนโดแนวใหม่ วัยไหนก็โดน!!!