กลับมาพบกันอีกแล้วกับเทคนิคแต่งห้องเก๋แบบหมีๆ ที่คราวนี้หมีขอลาแล้วความดาร์ก มาเอาใจสายหวานกันบ้างดีกว่า เพราะหมีเองก็มีหัวใจสีสมพูพาสเทล ชอบความซอฟต์และความมุ้งมิ้ง เลยคิดว่าวันนี้สาวๆ น่าจะชอบกันเป็นพิเศษ กับ “Vintage Style” ที่ไม่มีวันเอ้าท์
หลายคนอาจจะย่นปากแล้วคิดในใจว่า “โห...มันต้องแพงแน่เลย สไตล์วินเทจมันต้องดูเก่าๆ คลาสสิกแต่ก็ดูหรูหราอยู่บ้างไม่ใช่เหรอ” ขอตอบว่า เยส! แต่เราไม่จำเป็นต้องซื้อของราคาแพงอะไรมาแต่ห้องเลยนะ เพราะพี่หมีเองก็เริ่มต้นจากการหาของเก่ามาประยุกต์เอาเองนี่แหละ
การเลือกของเก่าหรือของมือสองมาแต่งห้อง นอกจากห้องจะดูคลาสสิกแล้ว ยังดูมีสตอรี่และฮิสตอรี่ในเวลาเดียวกันไม่ใช่เหรอทุกคน (เก๊กหล่อ)
เริ่มต้นด้วยสีโทนอ่อน
ปัจจัยแรกที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือสีห้อง สีห้องเป็นเหมือนแบ็คกราวนด์แรกที่กำหนดสไตล์และความเป็นไปของห้องได้เลยเชื่อมั้ยล่ะ และสำหรับสไตล์วินเทจมุ้งมิ้งแต่หรูหราอย่างกับสาวปาริเซียงนี่แน่นอนว่าต้องมาคู่กับสีโทนอ่อนอยู่แล้ว
เดี๋ยวนี้มันไม่ได้จำกัดการเลือกสีแค่สีมาตรฐานทั้งหลายนะ ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกับสีจำพวก สีพาสเทล สีเอิร์ธโทน อะไรทำนองนี้ใช่มั้ยล่ะ น่านนนล่ะครับท่านผู้ชม ก้าวแรกสู่ความย้อนยุคพิชิตความเป็นวินเทจของเราคือการคงความพาสเทลหรือเอิร์ธโทนเอาไว้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าชอบสีนี้ก็ต้องดึงดันเอาสีนั้นให้ได้นะ เพราะทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ต้องใช้หมอง นั่งมาธิอย่างกับอิคคิวซังกันสักนิดว่าสีที่เราเลือกใช้นั้นเข้ากับคอนเซ็ปต์ของเราหรือเปล่า
พี่หมีอยากบอกว่าข้อดีของการใช้สีโทนอ่อนแบบนี้นั้น นอกจากจะทำให้เราได้ห้องสไตล์วินเทจตามต้องการแล้ว ยังทำให้บรรยากาศภายในห้องอบอุ่นสบายตา แถมยังเรียบหรูลงตัวอีกด้วย
เฟอร์นิเจอร์... นางเอกตลอดกาล
จะห้องขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ สิ่งสำคัญที่สุดย่อมต้องเป็นเฟอร์นิเจอร์ ถ้าเราอยากเพิ่มความเข้มข้นของสายเลือดวินเทจในร่างกายก็ต้องใช้เฟอร์นิเจอร์ นางเอกตลอดกาลเข้ามาร่วมวงกันด้วย
ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ที่จะทำให้ห้องดู "แพง" แบบวินเทจแน่นอนว่ามีให้เลือกเยอะแยะ จะเตียง ตู้ โต๊ะ เก้าอี้ แจกัน โคมไฟ ไล่ไปจนถึงเชิงเทียน ทั้งหมดทั้งมวลนี้มีหน้าที่ของตัวเองหมด ว่างๆ ไปเดินดูแถวจตุจักรก็ได้ มีให้มาดามทั้งหลายเลือกจับจองเยอะแยะมากมายไปหมด อ้อ! แต่หมีเตือนเลยนะว่าอย่าใช้เยอะเกินไป เพราะมันจะ "รก" จนไม่น่ามองได้เหมือนกัน
ขับเน้นอารมณ์ด้วยผ้าม่านและวอลเปเปอร์
อยากให้ห้องวินเทจของสาวๆ มีดีเทลมากขึ้น พี่หมีแนะนำให้เลือกผ้าม่านหรือวอลเปเปอร์ติดผนังมาเป็นทัพเสริม ใช้แบบพลิ้วๆ ไม่หนาไม่หนัก และเป็นม่านโทนอ่อนก็จะแหล่มเลยฮะ เพราะห้องของเราจะดูสบายตามากขึ้น แต่ใครอยากได้ความหวานบวกความเจ้าหญิงดิสนีย์ ก็ลองเลือกเป็นม่านลูกไม้ได้นะ แปลกตาดีไปอีกกก
วอลเปเปอร์ผนังก็มีให้เลือกหลายแบบหลายสไตล์ แต่หัวใจของความเป็นวินเทจก็คือดอกไม้ เพราะงั้นลองเลือกดูลายดอกไม้ที่เป็นลายเพ้นท์ก็ลงตัวดีเหมือนกัน
ดอกไม้... หัวใจของความเป็นวินเทจ
บอกไปแล้วเมื่อครู่นี้ว่าหัวใจของความเป็นวินเทจก็คือดอกไม้ ของสองสิ่งนี้ต้องมาคู่กัน เหมือนกินข้าวเหนียวมะม่วงต้องราดน้ำกะทิ กินก๋วยเตี๋ยวเรือต้องใส่แคบหมู! (ขอโทษที หมีทำงานในระหว่างที่ความหิวจู่โจม) ความวินเทจก็เหมือนกัน ขาดดอกไม้ไปเหมือนขาดอะไรสักอย่างแน่นอน
การจะเพิ่มความดอกไม้ด้วยแล้วเนี่ยจะใส่มากับวอลเปเปอร์ติดผนังหรือผ้าม่านก็ได้ แต่ถ้าไม่ชอบก็มีของตกแต่งห้องอีกมากมายที่มีดอกไม้เข้ามาเกี่ยวข้อง หรือจะเอาดอกไม้จริงมาใส่แจกันเลยก็ได้นะ ใครสายหวานก็คัดเอาดอกไม้สีอ่อนๆ มาใส่แจกัน ตัดกับเฟอร์นิเจอร์สีทึมๆ แล้วจะปังมาก ส่วนใครที่ไม่ได้ชอบความหวานขนาดนั้นก็อาจเลือกสีสดๆ ไปเลยก็ไม่ผิด การจัดดอกไม้ไว้ในห้องแบบนี้นอกจากจะเข้าธีมแล้วยังทำให้ห้องสดชื่นด้วย
ปิดท้ายที่ของกระจุกกระจิกให้ชีวิตมีสีสัน
จะขาดของตกแต่งห้องแบบนี้ไปได้ยังไงกัน ของกระจุกกระจิกชิ้นเล็กชิ้นน้อยนี่แหละเหมาะสมที่สุดแล้ว ซื้อมาส่วนใหญ่ใช้งานไม่ได้หรอก แต่พอมองแล้วมันสบายใจสบายตาใช่มั้ยล่ะ 5555
จะว่าไปเดี๋ยวนี้พี่หมีเห็นร้านขายของกระจุกกระจิกทำนองนี้เยอะเลย ทั้งนาฬิกาทรงเก๋ กรอบรูปแบบโบราณ หมอนอิงประดับลูกไม้ กระจกเงาวินเทจ ถาดใส่เครื่องประดับสีทอง หรือของจุกจิกที่บอกไปว่าใช้งานไม่ได้แต่ตั้งโชว์แล้วสบายตาสบายใจทั้งหลายนั่นแหละขอรับ ทั้งหมดทั้งมวลนี้เมื่อเพิ่มเข้ามาในห้องแล้วมันทำให้ห้องของเราไม่โล่งจนเกินไป แถมยังซ่อนความหรูหราน่าสนใจเอาไว้ในรายละเอียดอีกต่างหาก
หลักๆ แล้วถ้าอยากแต่งห้องสไตล์วินเทจก็มีประมาณนี้แหละจ้า สาวๆ ทั้งหลาย (หรือจะชายหนุ่มผู้มีหัวใจอันอ่อนโยน) ก็สามารถแต่งคอนโดแบบ Vintage Style ได้ง่ายๆ ตามนี้เล้ยยยย
Picture Credit: Pinterest.com