ถ้าพูดถึงวิกฤตการณ์ทางการเงินของไทย หลายๆคนคงจะนึกถึงวิกฤติการณ์เมื่อ 20 กว่าปีก่อนอย่าง “ต้มยำกุ้ง” กันใช่ไหมล่ะ ซึ่งตอนนี้ไม่ว่าพี่หมีจะไปที่ไหน จะทำอะไร ก็มักจะได้ยินหรือได้เห็นคนบ่นเรื่องเศรษฐกิจที่ค่อนข้างชะลอตัวอยู่ในขณะนี้ ซึ่งพี่หมีมองว่ามันส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเลยนะ ทั้งพ่อค้าแม่ค้า พนักงานออฟฟิศ ลามไปจนถึงนักธุรกิจ
ซึ่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังไม่นิ่งของไทยก็ส่งผลกระทบกับความต้องการซื้ออสังหาเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะ “คอนโด” ลดลงเป็นอย่างมาก แต่ความต้องการซื้อดันสวนทางกับจำนวนคอนโดมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตอนนี้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็กลัวว่าจะซ้ำรอยกับวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งแบบที่พี่หมีกล่าวไว้ตอนต้นนั่นแหละ แต่อย่าเพิ่งตื่นตูมกันไป เพราะวันนี้พี่หมีมีข้อมูลเชิงบวกในวงการอสังหามาฝากเพื่อนๆกันด้วยนะ
ทาง DDproperty.com ได้เผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ไทยตอนนี้ยังมีความมั่นคงและยังเติบโตได้อีก และยัง “ไม่มีแนวโน้มของการเกิดฟองสบู่แตกซ้ำรอยเดิม” เนื่องจากผู้ประกอบการต่างเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ แต่นำโครงการที่ก่อสร้างเสร็จแล้วแต่ยังขายไม่หมดมา Resale อีกครั้ง พร้อมทั้งจัดโปรโมชันลดราคาจำนวนมาก หรือให้เข้าอยู่ฟรี 2 ปีแล้วผ่อนดาวน์ทีหลัง
ขณะเดียวกัน กลุ่มลูกค้าที่เป็น ‘โอกาส’ คือชาวต่างชาติ ให้ความสนใจซื้อคอนโดฯ ไทยเป็นจำนวนไม่น้อย ทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและซื้อเพื่อการลงทุน เนื่องจากประเทศไทยเป็นที่ที่มีความสะดวกในเรื่องของการลงทุนเป็นอย่างมาก ธนาคารแห่งประเทศไทย ยังได้ระบุว่า ชาวจีนมีบทบาทในตลาดอสังหาไทยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของการซื้ออาคารชุดเพื่ออยู่อาศัย การเช่าอาคารสำนักงาน รวมถึงการลงทุนของผู้ประกอบการชาวจีนผ่านการร่วมทุนกับผู้ประกอบการชาวไทย โดยการซื้อที่อยู่อาศัยของชาวจีนในปี 2561 ขยายตัวจากปี 2560 ค่อนข้างมาก สะท้อนจากมูลค่าเงินโอนเพื่อซื้ออาคารชุดในไทยของชาวจีน ปี 2561 อยู่ที่ 39,178 ล้านบาท เร่งขึ้นจากปี 2560 ที่ 23,621 ล้านบาท (ขยายตัว 65.9% จากปีก่อน) โดยคิดเป็น 43% ของมูลค่าเงินโอนเพื่อซื้ออาคารชุดของชาวต่างชาติ และ 12% ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดไทยทั้งประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ 9% โดยทำเลที่เป็นที่นิยมในหมู่ชาวจีน คือย่านศูนย์กลางธุรกิจในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และพื้นที่แถบชายทะเลของพัทยาและภูเก็ต
แม้ความต้องการที่อยู่อาศัยของลูกค้าชาวจีนจะเพิ่มขึ้น แต่ข้อมูลจากผู้ประกอบการและข้อมูลสถิติ พบว่ายังไม่มีสัญญาณฟองสบู่ หรือราคาอสังหาฯ ที่สูงผิดปกติในพื้นที่ดังกล่าว ส่วนจุดเด่นที่ทำให้อสังหาริมทรัพย์ของไทยได้รับความนิยมจากลูกค้าชาวจีนเพราะราคาอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังมีราคาถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างฮ่องกง หรือสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังมีกฎหมายเอื้อต่อการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ อาทิ ไม่จำกัดราคาขั้นต่ำในการซื้อ ซึ่งจากต่างมาเลเซียที่ต้องซื้อในราคาไม่ต่ำกว่า 8-16 ล้านบาท ได้กรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ซึ่งแตกต่างจากจีน หรือเวียดนามที่ได้เพียงสิทธิ์การเช่าระยะยาวเท่านั้น ไม่มีการเก็บภาษีจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ เหมือนในต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ต้องเสีย 20% และฮ่องกง 30% โดยเฉพาะเหมือนในสิงคโปร์ที่ต่างชาติต้องเสียภาษี ระบบภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และภาษีมรดก ยังไม่เริ่มบังคับใช้ (เริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการในปี 2563)
แต่ในขณะเดียวกัน การทำตลาดภายในประเทศก็ใช่ว่าจะหมดหวังเสียทีเดียว เนื่องจากโครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ทั้งที่กำลังจะเปิดและอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง รวมถึง คาดว่าจะมีนโยบายต่าง ๆ มากระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมและอสังหาฯกลับมาคึกคักมากขึ้น
โดยคำค้นตามพื้นที่ที่เป็นที่นิยมมากที่สุด 3 อันดับแรกใน 5 เดือนแรกของปีนี้คือ กรุงเทพฯ นนทบุรี และเชียงใหม่ ซึ่งยังคงเหมือนกับข้อมูล 3 อันดับแรกของปีก่อน นอกจากนี้ ข้อมูลจาก 8 ใน 10 อันดับแรกเป็นคำค้นสำหรับพื้นที่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล สะท้อนให้เห็นความต้องการอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากกว่าพื้นที่อื่นในประเทศ
สำหรับประเภทอสังหาฯ ที่มีการค้นหามากที่สุด 3 อันดับแรก คือ บ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียมและทาวน์เฮ้าส์ ทำเลคอนโดฯ ที่มีการค้นหามากที่สุด 3 อันดับแรก คือ ห้วยขวาง จตุจักรและวัฒนา ส่วนการค้นหาที่ดิน พบว่า 3 ทำเลที่เป็นที่นิยมมากที่สุด คือ ลาดพร้าว บางนาและบางกะปิ
เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับข้อมูลจาก DDproperty.com ที่พี่หมีเอามาฝากกันในวันนี้ ส่วนรอบหน้า พี่หมีจะนำข่าวคราวหรือสาระเรื่องอสังหาฯอะไรที่น่าสนใจมาฝากเพื่อนๆอีกนั้น อย่าลืมติดตามพี่หมีกันให้ดีๆนะจ๊ะ