จากพิษเศรษฐกิจในตอนนี้ ผู้ประกอบการอสังหาบางเจ้าอาจจะได้รับผลกระทบกันอยู่บ้าง ซึ่งในหลายๆรายก็เคยออกมาให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับภาพลักษณ์เศรษฐกิจและวงการอสังหา ที่พี่หมีเองก็เคยมีโอกาสหยิบยกเอามาแบ่งปันให้เพื่อนๆกันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ล่าสุดวันนี้พี่หมีนำมุมมองจาก ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มาฝาก โดยมุมมองเกี่ยวกับภาพรวมธุรกิจอสังหาไทยในช่วงครึ่งปีแรก 2562 ว่า แต่ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการบ้านแนวราบในกลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังแรกทรงตัว ขณะที่ตลาดผู้ซื้อเพื่อการลงทุนโดยมากจะอยู่ในกลุ่มตลาดคอนโด มีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน เป็นผลจากมาตรการกำกับดูแลสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้การซื้ออสังหาเพื่อลงทุนลดลง อีกทั้งยังส่งผลให้ผู้บริโภคบางส่วนชะลอการตัดสินใจซื้อ เพราะไม่มั่นใจว่าจะขอสินเชื่อได้หรือไม่
ทางด้าน ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ยังคงอัตราการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม ผู้ซื้อบ้านหลังแรก โดยยอดขายของบริษัทฯ ในครึ่งปีแรกของปี 2562 อยู่ที่ 3,100 ล้านบาท เทียบเท่ากับ 58% ของยอดตามแผนประจำปี 2562 ทั้งนี้การเติบโตของยอดขายดังกล่าว เป็นการยืนยันถึงผลประกอบการในครึ่งปีแรกของปี 2562 ที่ประสบความสำเร็จตามแผนกลยุทธ์และทิศทางการดำเนินงาน ที่วางไว้ และ จากผลสำรวจของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ พบว่า ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบถือเป็นตลาดที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือ Real Demand จึงได้รับผลกระทบจากมาตรการน้อยกว่าคอนโด
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ยังได้แสดงมุมมองต่อภาพรวมอสังหาไทยหลังจัดตั้งรัฐบาลอีกว่า หากย้อนไปดูนโยบายของพรรคแกนนำทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ ต่างมีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาทั้งทางตรงทางอ้อม โดยพลังประชารัฐ ประกาศสานต่อโครงการบ้านล้านหลังที่ได้ให้ประชาชนมาจองสิทธิ์สินเชื่อไว้แล้ว 1.27 แสนล้านบาท ซึ่งจะมีการปล่อยสินเชื่อในเฟสที่ 2 วงเงินอีก 1 แสนล้านบาท มีโครงการบ้านประชารัฐที่จะเดินหน้าต่อ และ ยังวางแผนพัฒนาคอนโดให้กับผู้สูงอายุในเมือง ผลักดัน รีเวิร์ส มอร์เกจ เปลี่ยนบ้านให้เป็นบำนาญสำหรับผู้สูงอายุ ใช้อีอีซี โมเดล เป็นต้นแบบกระจายศูนย์กลางความเจริญไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ สร้างเมืองน่าอยู่ใกล้บ้านมีงานทำในจังหวัดใหญ่ๆ และจังหวัดรอง เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาย่านธุรกิจและนวัตกรรม สร้างเมืองอัจฉริยะสีเขียว พัฒนากรุงเทพฯให้เป็น Bangkok 5.0 เป็นต้น
ถ้าย้อนดูความสำเร็จจากเฟสแรกจากรัฐบาลก่อน ที่ยังปล่อยกู้ไปได้แค่ไม่กี่พันล้านจากที่มาจองสิทธิ์ไว้กว่า 1 แสนล้านบาท นั่นเป็นเพราะบ้านราคา 1 ล้านมันแทบไม่มีอยู่ในตลาด จึงต้องฝากให้รัฐบาลชุดใหม่ทบทวนอีกครั้งว่า เงื่อนไขบ้านราคา 1 ล้านบาทนั้น ควรจะมีการยืดหยุ่นด้านราคาเพิ่มขึ้นหรือไม่ เช่นเดียวกับมาตรการลดค่าโอน ค่าจดจำนอง เพื่อสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองในราคา 1 ล้านบาท และมาตรการลดหย่อนภาษีบ้านไม่เกิน 5 ล้าน อีกเรื่องที่ส่งผลกระทบคือมาตรการคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ทำให้ตลาดอสังหาฯชะลอตัวอยู่ในปัจจุบัน หากสามารถผ่อนปรนบางเงื่อนไขได้บ้าง เพื่อให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงก็จะส่งผลทางบวกเพิ่มมากขึ้น
สำหรับการแข่งขันในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลังจัดตั้งรัฐบาล จะยังคงมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง จากการเร่งระบายสต๊อกที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จ และที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องระมัดระวังการลงทุนใหม่ โดยเน้นตลาดสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่จริงเป็นตลาดหลัก และพยายามรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio : D/E) ไม่ให้สูงเกินไป รวมถึงรักษาสภาพคล่องทางการเงินให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย ขณะที่ผู้บริโภคจำเป็นจะต้องวางแผนทางการเงินในการซื้อบ้าน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการขอสินเชื่อกับธนาคาร
ถือเป็นข้อมูลที่น่าสนใจไม่น้อย สำหรับข้อมูลอสังหา และนโยบายจากรัฐบาล พี่หมีหวังว่าหลังจากจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว วงการอสังหาในไทยอาจจะกลับมาคึกคักกว่าเดิมได้นะจ๊ะ