ย้อนกลับไปเมื่อราว 2 ปีก่อน “ชีวิต ไร้สาย” จัดว่าเป็นโครงการที่เนื้อหอมดังดรุณีแรกรุ่น ที่ใครต่างก็อยากมาซื้อขนมจีบชนิด หัวกระได ไม่เคยแห้ง
มีการเข้าคิวรอข้ามคืนกันอย่างอบอุ่น จนมีความชุลมุนอยู่บ้าง
สะท้อนถึงความต้องการ ณ เวลานั้น ได้เป็นอย่างดี
ทำไมถึงกระสันอยากได้กันขนาดนั้น? หลายคนตั้งข้อสงสัย
ต้องยอมรับเลยว่า “ทำเล” มันค้ำคอ และที่สำคัญสุดๆคือ “ราคา”
ในขณะที่ โครงการเพื่อนบ้านที่ไม่ไกลนัก ปักราคาค่าเสียหายกัน หลัก 200-300k /ตร.ม.
แต่ที่นี่ เริ่มด้วยหลัก 1 แสนกลางๆ/ตร.ม. เท่านั้น (ณ เวลานั้น)
เป็นโครงการที่นักลงทุนต่างวิ่งหากันขาขวิด หลายคนซื้อมาขายไป ทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ
บางคน... ติดมือ ก็มีนะ 555 อยู่ที่สกิลพ่อค้าของใครของมันจริงๆ
มาวันนี้ โครงการพร้อม “ย้ายเป๋าเข้าอยู่” ได้เรียบร้อย
ผมมีโอกาสได้เข้ามายล “แม่สาวน้อย” อีกครั้ง ในวันที่ปะแป้งแต่งหน้า พร้อมอวดโฉมให้เชยชม
"เฮ้ย สวยขนาดนี้เลยรึ?!!!" ยอมรับเลยว่า "ดี" กว่าที่คาด
ผมเคยเขียนถึงโครงการนี้ไปหลายครั้งละ หลายคนน่าจะเคยผ่านตามาบ้าง
รวมถึงอาจได้เคยอ่านจากที่อื่น เพราะฉะนั้น ผมคงจะไม่ไปแตะพวกข้อมูลต่างๆมากเนอะ
แต่จะมาเน้นที่ สิ่งใหม่ๆที่ได้มายลกัน
มะ เรามาเริ่มกันเลย
เริ่มจากจุด "Drop off" สุดเก๋ไก๋หลังจากผ่านเข้าหน้าโครงการ
มีน้ำพุ กับใบโพธิ์ทองมาร้อยเรียงกัน ตรงกลางวงเวียน
สวยแปลกตาดี จนอดใจไม่ไหว ต้องชักรูปไว้
ที่นี่มีการออกแบบ Lobby ให้มีแบบ Semi-outdoor ด้วย มีคนกังวลว่า “จะไม่ร้อนรึ” ผมทดลองไปนั่งเล่นดู
“ไม่ร้อน” นะ แถมวิวดีด้วย เพราะอยู่ติดกับสวนเลย
พูดถึงสวนชั้นแรกขนาด 1 ไร่
อาจจะดูเป็นสวนที่ไม่ใหญ่เวอร์ แต่มีความเขียวเวอร์มาก เดินไปตรงไหนก็เจอ
มีการทำที่นั่ง ให้อยู่ใกล้ๆกับบริเวณน้ำตกด้วย ช่วงเช้าๆหลังวิ่งออกกำลังกาย นั่งพักตรงนี้ รับรองหายเหนื่อย
ถัดเข้าในโครงการ จะเป็นส่วนของ "Grand Lobby"
ดีไซน์ออกแนว "Modern Thai Heritage" เน้นโทนขาวทองดำ เอามาผสมกัน
ของตกแต่งทุกอย่างจะไปในทิศทางคลาสสิคหมดเลย
ขนาดว่าห้องตู้จดหมาย ยังทำตัวตู้เป็นสีทองเลยนะ โถงลิฟท์ก็ออกแนวขาวทองด้วยเช่นกัน
ถือว่ามีที่นั่งพอสมควรนะ ไว้นั่งโม้กับเพื่อนฝูงได้สบาย
ในชั้นนี้มี Library ด้วยนะ ห้องขนาดไม่ใหญ่เท่าไร แต่ออกแบบมาดูสวยดี
มีการทำเป็น 2 ชั้น เพิ่มมิติของห้อง สามารถดัดแปลงเป็นห้องประชุมเล็กๆได้ด้วย
ว่างน่าเข้ามางีบหลับ เอ้ย น่าพกหนังสือมาอ่านเล่นๆสิ อิอิ
ต่อมาที่สวนตรงชั้น 10 ขอบอกว่า ไม่ใช่ย่อยเลยนะ
แม้จะเป็นสวนเหมือนกับชั้นแรก แต่ชั้นแรก จะออกแนวเดินดูเพลินๆมากกว่า
ส่วนสวนชั้นนี้ จะออกแบบมาเหมาะกับการนั่งพักผ่อน มีความร่มรื่นจากต้นไม้มากมาย
ออกแบบมาเหมือนอยู่ริมธารที่มีหินตั้งเรียงรายกัน เสมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
อารมณ์คล้ายๆนังเล่นแถวน้ำตกน่ะ
เชื่อว่าช่วงเย็นๆ ต้องมีคนมานั่งเล่น หย่อนก้นเอนกายกันแน่แท้
ส่วนกลางถัดมา จะข้ามไปอยู่ชั้นที่ 42 กัน
ชั้นนี้เหมาะกับคนมีเพื่อนฝูงคบหาเยอะ
จัดงานเลี้ยงปาร์ตี้ ขนาดหย่อมๆได้อย่างสบาย ถ้าจัดการดีๆ ผมว่ารองรับคนได้ 30-50 คน
เพราะยังมีโซน Outdoor ต่อเนื่องไปอีกด้วยนะ
มีเคาน์เตอร์บาร์พร้อมทั้งส่วน indoor และ outdoor และมีห้องย่อยเพื่อแยกทำกิจกรรมเพิ่มเติมได้อีก
ลูกบ้านคนไหนอยากมาใช้บริการ ก็ยื่นจองคิวกันได้
สุดท้ายที่ชั้น 43
เมื่อออกจากลิฟท์มา เราจะเจอกับห้องฟิตเนสขนาดใหญ่ มีเครื่องออกกำลังกายอยู่หลากชนิด
ออกมาอีกนิดเป็นสระว่ายน้ำ ขนาดยาวถึง 35 ม. ว่ายออกกำลังกายเผาพลังงานได้เป็นอย่างดี
ส่วนใครสายแช่น้ำแบบผม ก็ไปที่โซน Jacuzzi เอานะ อิอิ
ตรงบริเวณสระจะเป็นพื้นที่เปิดโล่งเราสามารถเทควิวได้ 360 องศา กันไปเลย
และอีกหนึ่งจุดขายสำคัญก็คือ ทางเชื่อมระหว่างชั้นที่ 42 และ 43 นอกเหนือจากบันไดใกล้ห้องฟิตเนส
ข้างๆสระว่ายน้ำจะมีทางเดินออกไปยัง "The Vista Deck"
จุดชมเมืองที่ไม่ว่าใครเดินเข้าไป ก็ต้องยืนเต๊ะท่าหันหน้าสู้กล้องกันทุกคน อิอิ เป็นจุดที่วิวดีจริงๆ
ช่วงค่ำๆ เหมาะมายืนรับลมพร้อมชมวิวเมืองมาก
และข้างๆกัน จะมีสวน และที่นั่ง แบบลดหลั่นลงไปตามขั้นบันไดอีกด้วย
เมื่อลงไปแล้ว เดินไปตามทาง จะไปเข้าชั้น 42 โซน "Storage room" พอดี
Storage room หลายคนอาจสงสัยว่าคืออะไร? ไม่รู้ละสิ 555
เอาจริงๆ ตอนผมเห็นเอง ผมยังแปลกใจเลยว่ามันคือห้องเอาไว้ทำอะไรหว่า 5555 แถมมีไม่ใช่น้อยๆด้วยนะ ราวๆ 20 กว่าห้อง มีหลากหลายขนาด
คิดเป็นพื้นที่แล้วอาจเกือบถึงครึ่งชั้นเลยทีเดียว
เมื่อสอบสวนเจ้าหน้าที่ไป ได้ความว่า
มันคือห้องที่ลูกบ้าน สามารถทำการจองเพื่อเช่าเอาไว้เก็บของได้...!!! (ค่าบริการไม่รู้ แต่คาดว่าเก็บค่าเช่าเป็นรายเดือน)
เออ แปลกดีวุ้ย น่าจะเป็นที่แรกที่ผมเคยเห็นเลยนะ
ปกติ พื้นที่บนชั้นสูงๆแบบนี้ ถ้าไม่ได้เป็น "ส่วนกลาง" ก็ต้องเป็น "ห้อง" ที่สามารถขายได้ราคาแน่นอน
การที่เอามาทำเป็น "Storage room" แบบนี้ ก็น่าจะมีสาเหตุบางอย่างล่ะนะ
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถือเป็นเรื่องที่ดี
เพราะผมเชื่อว่า หลายคนน่าจะประสบปัญหา พื้นที่ภายในห้อง ไม่พอเก็บของกันแน่
โดยเฉพาะ พวกของใหญ่ๆอย่างเช่น จักรยาน เป็นต้น
มาที่ข้อมูลโครงการกันหน่อย
"Life ๑ Wireless" เป็นโครงการ High rise สูง 43 ชั้น 1 อาคาร ยูนิตพักอาศัย 1,344 ยูนิต บนที่ดินขนาด 4-2-47.1 ไร่ จอดรถได้ 566 คัน
รูปแบบห้องจะมีด้วยกัน 3 แบบตามนี้เลย
แบบ Studio ขนาด 24-28 ตร.ม.
แบบ 1 Bedroom ขนาด 35-43 ตร.ม.
และแบบ 2 Bedroom ขนาด 45-63 ตร.ม.
โครงการก็ได้มีการตกแต่งห้องเอาไว้ให้ไปดูเป็นตัวอย่างด้วย 2-3 ห้อง
มีแบบ Studio ขนาด 28 ตร.ม. และ 1 Bedroom ขนาด 35 ตร.ม.
ใครที่ไม่อยากคิดมากให้เมื่อยรอยหยักในสมอง ก็ไปลอกแบบกันได้ อิอิ
ห้อง 1 Bedroom ขนาด 35 ตร.ม. เป็นรูปแบบห้องที่มีเยอะที่สุดในโครงการ
เข้าห้องมาจะเจอกับโซนห้องนั่งเล่นก่อน พร้อมด้วยห้องน้ำ
ถัดเข้ามาเป็นพื้นที่ว่างติดกับห้องนอน เราสามารถเอาโต๊ะมาวางได้
ข้างๆกันเป็นโซนครัว ที่มีขนาดพอตัวเลย สามารถเอาโต๊ะทานข้าวมาวางได้
เข้ามาในห้องนอน ตรงนี้จะมีความพิเศษหน่อย
มีห้องเล็กๆ ที่คุณผู้หญิงสามารถทำเป็นห้องแต่งตัวได้แบบเหลือๆ หรือใครอยากเปลี่ยนเป็นห้องทำงาน ห้องอ่านหนังสือ ห้องเบบี๋ตัวน้อย ก็แล้วแต่สะดวกกันเลย
ห้องนี้จะติดกับระเบียงนะ
สำหรับห้อง Studio เป็นแนวลึก เข้ามาจะเจอกับโซนครัว และห้องน้ำ
ถ้าใครอยากได้ความเป็นส่วนตัวที่มากขึ้น เอาจริงๆตรงนี้สามารถกั้นเป็นแบบ 1 Bedroom ได้นะ
ถัดเข้ามา เจอโซนห้องนอน ซึ่งมีพื้นที่ว่างข้างหัวที่นอนทั้ง 2 ข้าง คือด้านติดหน้าต่าง และด้านติดห้องน้ำ
อันนี้เราสามารถเลือกเอาเองตามใจชอบได้เลยว่า
อยากได้โซฟา หรือ โต๊ะทำงาน ไปอยู่ริมหน้าต่าง หรือติดห้องน้ำ
ส่วนในห้องตัวอย่าง จะจัดมาแบบให้โซฟาอยู่ริมหน้าต่างนะ ออกแนวเหมือนกับโรงแรมหน่อย
อีกส่วนหนึ่งที่ผมชอบมากก็คือ ระบบ Home Automation ที่ลูกบ้านทุกคน ได้แน่นอน
ง่ายดายทุกอย่างแค่ปลายนิ้ว กดจึ๊กที่ Appication ในสมาร์ทโฟนเข้าให้
เราสามารถสั่งให้ล็อค หรือปลดล็อคประตูได้ ใช้แทนคีย์การ์ดได้เลย
อันนี้ดีมากเลยนะ
อย่างบางทีเราอยู่ในห้อง แต่ไม่สะดวก หรือขี้เกียจ เดินมาเปิดล็อค แค่จิ้มเท่านั้น
ใช้ได้ตั้งแต่ประตูเข้าคอนโด ลิฟท์ จนถึงห้องเราเลย
และเราสามารถสั่งเปิดปิดไฟ แอร์ ได้อีกด้วย
อากาศร้อนๆ กำลังจอดรถอยู่ ก็กดเปิดแอร์ล่วงหน้ามันซะเลย
หรืออย่างก่อนเข้านอน เราก็สามารถสั่งปิดไฟ ได้จากห้องนอน รวมไปถึงเช็คสถานะประตูอีกที เผื่อลืมล็อค
แบบมันง่วงแล้วอ่า เดินไปไม่ไหวแล้วอะไรงี้ 5555
เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เป็นรายละเอียดที่ผมชอบจัง
สำหรับเรื่องทำเลของโครงการนั้น
เชื่อว่าหลายคนที่สนใจโครงการ น่าจะคุ้นเคยกันดี เพราะโครงการจัดว่าอยู่ใจกลางเมืองเลย
โครงการอยู่ติดถ.วิทยุ วิ่งออกไปทางถ.เพชรบุรีได้
เดิมทีเมื่อตอนที่ โครงการวางแผงใหม่ๆ หลายคนสงสัยว่า จะสามารถวกรถกลับมาทางสุขุมวิทได้ไหมนะ? เพราะปกติถนนตรงนั้นจะวันเวย์
ซึ่งตอนนี้ หมดกังวลได้เลย เพราะสามารถทำได้แน่นอน 100%
ทางโครงการ ได้ทำทางออกด้านหลังไว้ ซึ่งจะออกไปบริเวณใต้ทางด่วน (วันที่ผมไป อยู่ในระหว่างการปรับภูมิทัศน์)
ไปเชื่อมกับ ซอยนายเลิศ ออกมาทางสุขมวิทได้ ตรงหน้าปากซอย จะเป็น BTS พอดี
สามารถเลี้ยวซ้ายไปขึ้นทางด่วนได้ และเลี้ยวขวาออกไปทาง ชิดลม สยามได้
บอกตรงๆว่า ทางออกนี้ ทำให้มูลค่าโครงการเพิ่มขึ้นอีกโขเลยครับ
ทำเลโครงการ ใกล้ห้างชื่อดังมากมาย เช่น Central Embassy , Central Chidlom , Gaysorn Village และ Central World เป็นต้น
ใกล้ ร.ร.มาแตร์เดอี ใกล้รพ. บำรุงราษฎร์ และอื่นๆอีกเพียบ
ส่วนรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดจะเป็น BTS สถานีเพลินจิต ระยะจะอยู่ที่ราวๆ 500-600 ม.
ยังเป็นระยะที่พอเดินได้นะ แต่คนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่ ก็คงจะใช้รถมากกว่าอะเนอะ
นอกจากนั้น โครงการยังติดกับท่าเรืออีกด้วย จะมีสักกี่โครงการที่ติดกับท่าน้ำ และอยู่ใจกลางเมือง และใกล้ BTS แบบนี้
ท่าเรือนี้เราสามารถนั่งไปลงอโศก รามคำแหง ภูเขาทอง ประตูน้ำ ได้เลยนะ
ผมเชื่อว่า ชาวต่างชาติที่มาอยู่จะต้องชอบแน่นอน อารมณ์มันเหมือนไปเที่ยวน่ะ
สมัยก่อนคนไทยอาจไม่ชอบคลองนี้เท่าไรนะ 555
แต่เท่าที่ผมลองไปสำรวจอีกครั้ง หลังไม่ได้ไปมาร่วม 20 ปี ผมว่ามันดูดีขึ้นนะ ท่าเรือดูมาตรฐาน มีแปะป้ายกำกับเส้นทางชัดเจน
มีจอทีวี เพื่อบอกข่าวสาร ข้อมูลต่างๆ รวมถึงแอบมีโฆษณาด้วย อิอิ
ที่สำคัญ ตัวเรือก็ดูปลอดภัย ลำใหญ่ น่านั่งมากขึ้น
ไม่เชื่อเหรอ? มาพิสูจน์ด้วยตาตัวเองสิ ผมยังไม่เชื่อเลย ถ้าไม่ได้ไปเอง 5555
ตรงนี้ ถือเป็นแต้มต่อที่ดีในการปล่อยเช่าเลยนะ
นอกจากนั้น ด้วยความที่ราคาที่ดินในโซนนี้ แพงมากกกก หลายโครงการที่ผุดขึ้นมา "ราคา" จึงกระชากวิญญาณมากตามไปด้วยเช่นกัน
ราคาล้วนไปหลัก 2-3 แสนบ./ตร.ม. แต่ "Life ๑ Wireless" กลับโผล่ขึ้นมาในช่วงราคาที่เริ่มแค่ 1 แสนกลางๆค่อนปลายต่อตร.ม.
จากข้อมูลที่ได้มา คาดว่าน่าจะปล่อยเช่าได้ที่ ประมาณ 20,000-22,000 บ./เดือน สำหรับห้อง Studio
ส่วน 1 Bedroom อยู่ที่ราวๆ 3 หมื่นบ./เดือน
ค่าเช่าช่วงประมาณ 2-3 หมื่น แถวนี้ผมว่าหา Supply ได้ไม่เยอะนะ จึงทำให้เราสามารถปล่อยห้องได้ง่ายขึ้น
ยิลด์ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ จะอยู่ที่ประมาณ 5% ถือว่าใช้ได้เลยกับคอนโดใจกลางเมือง ที่เดี๋ยวนี้มักหล่นไปอยู่ที่ 4% กันเยอะแล้ว
เพราะฉะนั้น ในแง่การซื้อมาเพื่อปล่อยเช่า ผมว่าดีเลยล่ะ
ส่วนในระยะยาว ก็อย่างที่บอกไปนะ
ว่าด้วยราคาค่าตัวที่จัดว่า "ราคาเพื่อนฝูง" จึงทำให้ราคายังไปต่อได้อีกพอตัว
กำไรดีแน่นอน ส่วนจะได้มากน้อย ก็ขึ้นอยู่ห้องที่เราเลือกเนอะ รวมถึงดวงด้วย อันนี้สำคัญนะ 555
สำหรับคนที่สนใจ ตอนนี้มีโปรโมชั่นราคาโปรเริ่มต้น 4.19 ล้านบาท โครงการสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่แล้ว แนะว่า ยังไงก็ควรไปเยือนสักครั้งก่อนซื้อนะ ก่อนไป ลงทะเบียนกันก่อนเลย
คลิก จะได้มีคนคอยมาต้อน เอ้ย มาแนะนำให้ข้อมูลเราได้ แบบส่วนตั๊วส่วนตัวเนอะ