ลมหนาวพัดมาเอื่อยๆ แม้จะร้อนๆ หนาวๆ สลับไปมาชวนให้สับสน แต่เพราะไม่กี่อึดใจก็ถึงสิ้นปีแล้ว มันเลยมีบางช่วงที่พอจะให้เราได้สัมผัสถึงไอความหนาวได้บ้าง
และพอคิดว่าถ้าสิ้นปีมาถึงเมื่อไหร่ อากาศมันคงเริ่มเย็นลงกว่านี้เลยชวนให้อยากจะซุกตัวอยู่ในผ้าห่มทั้งวัน ยิ่งวันหยุดใกล้เข้ามาแบบนี้หลายคนน่าจะวางแพลนไปเที่ยวกันเรียบร้อย แต่ถ้าใครอยากใช้ศิลปะในการปล่อยเวลาทิ้ง (หรือพูดง่ายๆ ว่าขี้เกียจ) วันนี้หมีอยากจะมาแนะนำหนังสือไว้อ่านเพลินๆ ฆ่าเวลากันครับผม
โดยหนังคือที่คัดมาทั้งหมด 8 เล่มเป็นงานเขียนหลากรส จัดมาให้ทุกคนได้ขลุกตัวอยู่ในโลกสมมุติอย่างเพลิดเพลิน แถมรับรองได้ว่าหลังจากจมดิ่งไปกับหนังสือเล่มนั้นๆ แล้ว ทุกคนจะต้องอ่านจนลืมเวลาไปแน่นวลลลล
อันตัวข้าพเจ้านี้คือแมว
ผู้เขียน: Natsume Soseki
สำนักพิมพ์: กำมะหยี่
"อันตัวข้าพเจ้าคือแมว นามนั้นยังไม่มี"
หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานมีชื่อจากประเทศญี่ปุ่นที่บ้านเราเพิ่งได้ลิขสิทธิ์และตีพิมพ์หมาดๆ เลยเมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่าน หมีเองตอนที่ได้เห็นหนังสือคลอดนี่ก็ออกจะตื่นเต้นไม่น้อยเพราะเห็นรีวิวเวอร์ชั่นออริจินอลและเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษผ่านตามานานแล้ว คราวนี้พี่ไทยได้หยิบมาแปลเสียทีโดยสำนักพิมพ์กำมะหยี่ก็ถือว่าต้องสอยบ้าง
หลักๆ จะเล่าถึงโลกและบรรดามนุษย์ทั้งหลายผ่านสายตาของแมวไร้นามตัวหนึ่งที่เกรี้ยวกราดยามเบื่อหน่ายโลก เป็นหนังสือที่แฝงความคิดเสียดสีปนตลกขบขันของแมวที่วิพากษ์วิจารณ์แนวคิดและคำพูดกับการกระทำต่างๆ ของมนุษย์ หนังสือเล่มหนาๆ ตัวยิบๆ ที่รับรองว่าจะทำให้เราได้ตัดขาดโลกและใช้เวลาไปกับการมองโลกของเจ้าเหมียวตัวนี้ได้ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่มีเบื่อเลยล่ะครับผม
ช่างสักแห่งเอาช์วิทซ์
ผู้เขียน: Heather Morris
สำนักพิมพ์: Merry-Go-Round Publishing
“คุณอยากให้ผมสักเลขให้กับคนอื่นๆ หรือครับ”
เป็นหนังสืออีกเล่มที่เพิ่งได้ลิขสิทธิ์ภาษาไทยมาหมาดๆ โดยสำนักพิมพ์แมร์รี่โกราวด์ แน่นอนว่าหมีตื่นเต้นอีกแล้ว 555 หนังสือเรื่องนี้มีชื่อเสียงทีเดียว แถมได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของ ลาลี โซโคลอฟ ผู้รอดชีวิตจากค่ายกักกันเอาช์วิทซ์-เบียร์เคอเนา ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย
หนังสือเรื่องนี้พูดถึงชายวัยยี่สิบเศษที่กลายมาเป็นนักโทษในค่ายกักกัน ถูกตีตราด้วยการสักหมายเลขบนท่อนแขน และวันหนึ่งชีวิตเขาก็พลิกผันทำให้กลายมาเป็น ‘ช่างสัก’ ในค่ายกักกันแห่งนี้เสียเอง แน่นอนว่าหนังสือเล่มนี้อาจมีเหตุการณ์ชวนสะเทือนใจอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้เราได้เข้าใจเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้ง ว่ากระทั่งในนรกก็ยังเกิดความรักได้ อบอุ่นหัวใจจริงๆ!
มีอะไรในสวนหลังบ้าน
ผู้เขียน: Kim Jin Yeong
สำนักพิมพ์: แพรวสำนักพิมพ์
"ในโลกใบนี้ไม่มีชีวิตที่เรียบง่ายหรอกค่ะ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นคนโชคร้าย พวกเราทุกคนต่างโชคร้ายกันคนละแบบ ขอโทษด้วยนะคะ"
อันที่จริงหมีไม่ได้อ่านงานเกาหลีมานานมากแล้ว แต่มาสนใจเรื่องนี้เพราะขึ้นเป็น Best Seller ที่เกาหลี แถมยังเป็นที่ฮือฮามากเสียด้วยตอนหนังสือได้ตีพิมพ์ และพอได้อ่านเองจริงๆ ก็สมราคาคุย เพราะปล่อยหมัดฮุกใส่เราได้ตั้งแต่บทแรกๆ จากนั้นก็สับขาหลอกคนอ่านไปมา ก่อนจะพลิกแล้วพลิกอีกอย่างกับเล่นรถไฟเหาะในช่วงสุดท้ายพร้อมปริศนาคาใจบางเบา เรียกได้ว่าอ่านแล้ววางไม่ลงเลย
แม้จะเป็นหนังสือแนวสืบสวนสอบสวนที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก "กลิ่นที่โชยมาจากสวนสวยหลังบ้าน" แต่เอาเข้าจริงมันคือหนังสือที่เล่าเรื่องอย่างมีชั้นเชิง แถมยังแอบเปิดโปงด้านมืดของเกาหลี มีทั้งประเด็นความเหลื่อมล้ำ การกดขี่ทางเพศ สังคมชายเป็นใหญ่ และปัญหาครอบครัว ถ้าใครที่ชอบเรื่อง Parasite กับบรรยากาศเย็นยะเยือกก็น่าจะชอบเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน
หลุม
ผู้เขียน: Louis Sachar
สำนักพิมพ์: แพรวเยาวชน
"เมื่อนายต้องใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่ในหลุม…ทางเดียวที่นายจะไปต่อได้ คือปีนกลับขึ้นมา"
หนังสือเรื่องนี้เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่หมีคิดว่าผู้ใหญ่ก็อ่านได้แถมยังเพลิดเพลินไปกับมันอีกด้วย อวยสักหน่อยว่าหมีเคยอ่านสมัยยังเด็กและก็ชอบมาตั้งแต่ตอนนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังชอบอยู่ (แต่เพิ่งมีการรีปรินต์เปลี่ยนปกใหม่เมื่อไม่นานมานี้เอง) โดยเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการ 'ขุด' มันสนุกตรงที่เราจะได้มา 'ขุด' หาความจริงกัน ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาต้องการจะ 'ขุด' อะไร
หนังสือเรื่องนี้พูดถึง สแตนลีย์ เยลแนตส์ เด็กชายผู้ได้รับมรดกโชคร้ายจากคุณเทียดนักขโมยหมู ซึ่งความโชคร้ายของเขาเกิดขึ้นหลังศาลตัดสินว่าทำผิด ทำให้ถูกส่งตัวไปค่ายกักกันเด็กและเยาวชนที่ทำผิดอย่างค่ายกรีนเลค ที่นั่นผู้คุมจะสั่งให้ขุดหลุมทุกวันวันละหลุมเพื่อปรับปรุงพฤติกรรม แต่สแตนลีย์ก็มาเอะใจว่าจริงๆ แล้วการขุดหลุมไม่ใช่การปรับปรุงพฤติกรรม แต่ผู้คุมกำลังหลอกใช้ให้พวกเขาหาอะไรบางอย่างต่างหาก
ฆาตกรรมคืนฝนดาวตก
ผู้เขียน: Higashino Keigo
สำนักพิมพ์: Maxx Publishing
"ความแค้นกับความจริง เราใช้เวลาอยู่กับอะไรมากกว่ากันในการค้นหาคนที่ทำร้ายเรา"
ช่วงนี้นักเขียนแนวสืบสวนญี่ปุ่นที่กำลังดังในหมู่นักอ่านชาวไทยเห็นทีจะหนีไม่พ้น Higashino Keigo ที่ก่อนหน้านี้ดังเปรี้ยงปร้างในบ้านเรากับเรื่อง "ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ" แถมมีหนังสือได้ลิขสิทธิ์เข้าไทยยาวเป็นหางว่าว และ "ฆาตกรรมคืนฝนดาวตก" นั้นแม้ชื่อจะดูดาร์กไปบ้างแต่เนื้อเรื่องไม่ดาร์กขนาดนั้นแถมยังสนุกชวนให้ติดตามอีกต่างหาก โดยเนื้อเรื่องพูดถึงสามพี่น้องที่แอบหนีออกจากบ้านไปดูฝนดาวตก แต่เมื่อกลับบ้านมากลับพบว่าพ่อแม่ของพวกเขาถูกฆาตกรรมในคืนนั้นเสียแล้ว
หลังจากนั้นเมื่อทั้งสามโตขึ้นก็หาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนักต้มตุ๋น จนกระทั่งได้พบกับคนที่น่าจะเป็นฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่ของตน พวกเขาจึงเริ่มต้นค้นหาความจริงและความลับที่อาจจะทำให้เจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม หมีอยากจะบอกว่าในบรรดาหนังสือมากมายของ Higashino Keigo แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ๋งที่สุด มีกลเม็ดแพรวพราวในการเล่าเรื่องที่สุด แต่มันก็เป็นหนังสือที่อ่านแล้วอบอุ่นหัวใจในวันที่อากาศหนาวเย็นเป็นเรื่องต้นๆ เลยล่ะคร้าบบบ
มาร์โควัลโด
ผู้เขียน: Italo Calvino
สำนักพิมพ์: บทจร
"พูดง่ายๆ ว่า ถ้ารถเข็นของเราว่าง ขณะที่ของคนอื่นเต็ม เราก็ทนได้เพียงถึงจุดหนึ่ง หลังจากนั้นเราก็จะรู้สึกอิจฉา เจ็บปวดหัวใจ และก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป"
เรื่องนี้หมีเพิ่งซื้อมาอ่านแล้วก็ส่งต่อให้คุณมารดาของหมีอ่านอีกที ซึ่งคุณมารดาก็อ่านอย่างเมามันไปเลยหนึ่งวันเต็มๆ อันที่จริงมันก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ด้วยความที่เนื้อหาเป็นตอนสั้นๆ ไม่เยอะไปหรือน้อยไปของมัน เลยเหมาะที่จะให้ผู้สูงอายุอ่านยามว่างเหมือนกัน แต่แน่นอนว่าไม่ใช่อ่านแล้วจะได้แค่รสวรรณกรรม แต่สาระวรรณกรรมก็แฝงไว้ในหนังสือบางๆ เล่มนี้ไม่น้อยเลยนะ
มาร์โควัลโด เป็นชื่อของกรรมกรผู้ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ทันสมัยเพราะเศรษฐกิจแต่แห้งแล้งชวนหดหู่ใจ แต่ละตอนของหนังสือจะเล่าถึงการใช้ชีวิตที่ขาดแคลนเงินทองของมาร์โควัลโดและครอบครัว การรับมือกับเรื่องราวต่างๆ ในแต่ฤดูกาลที่ผันเปลี่ยนตลอดทั้งปีด้วยวิธีการซื่อๆ และ (ส่วนใหญ่ก็) สุจริตจวบจนถึงฤดูหนาวของวันสิ้นปี ซึ่งสาระแฝงของมันทำให้เราเห็นถึงความเหลื่อมล้ำและความยากจนไม่น้อย อ่านไปก็ชวนหัวนิดๆ และเศร้าหน่อยๆ เหมือนกัน แหะๆ
ฉางอันสิบสองชั่วยาม
ผู้เขียน: Ma Bo Yong
สำนักพิมพ์: ENTER BOOKS
"ผู้ทรงปัญญาปกครองคน ผู้มีแรงกายถูกคนปกครอง"
ขอพาไปอ่านแนวพีเรียดกันเสียหน่อย ใครชอบนิยายจีนนี่ห้ามพลาดเรื่องนี้เลย หรือใครไม่ชอบแต่อยากลองก็อ่านได้เหมือนกันนะ ยิ่งไปกว่านั้นใครชอบแนวแอคชั่นสืบสวนสอบสวนนี่ต้องไปซื้อมา เพราะหลายเสียงบอกว่ามันดีจริง โดยเหตุการณ์ในหนังสือเป็นช่วงเทศกาลโคมไฟของฉางอัน แต่ในเทศกาลนี้มีการวางแผนลอบเข้ามาทำลายเมืองของคนต่างเผ่า หน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลฉางอันจนปัญญากับการระงับเหตุ เลยต้องกัดฟันเรียกตัว จางเสี่ยวจิ้ง นักโทษประหารและอดีตทหารออกมาช่วยสืบหาคนร้าย
โดยระยะเวลาสิบสองชั่วยามก็เท่ากับยี่สิบสี่ชั่วโมงในปัจจุบันนั่นแหละ แต่ทีนี้มันสนุกตรงที่หนังสือจะเล่าแบบเรียลไทม์ ในระยะเวลานี้ต้องหาตัวคนร้ายและระงับเหตุที่จะทำลายเมืองฉางอันให้ได้โดยเร็วที่สุด แต่นอกจากจะต้องรับมือกับคนร้ายแล้วก็ต้องรับมือกับการเมืองการแก่งแย่งชิงดีของคนในราชสำนักที่คอยเข้ามาขัดแข้งขัดขาอีก เรียกได้ว่าครบรสมากๆ อ่านแล้วอะดรีนาลีนพลุ่งพล่าน สำหรับใครที่จะอ่าน หนังสือเรื่องนี้ทั้งหมด 3 เล่มจบ แนะนำให้ซื้อมาให้ครบเลย เพราะอ่านเล่มแรกจบแล้วไม่มีเล่มสองในมือก็คือค้างแน่นอน 555
ชายชื่ออูเว
ผู้เขียน: Fredrik Backman
สำนักพิมพ์: Merry-Go-Round Publishing
“คุณรู้จักมนุษย์ลุงดีแค่ไหนก่อนจะเกลียดเขา?”
ปิดท้ายกันที่เล่มนี้ เป็นหนังสืออีกเล่มที่คุณมารดาของหมีชอบมากอีกแล้ว 555 อันที่จริงใครอ่านก็น่าจะชอบนะ เป็นหนังสือสวีดิชที่นับได้ว่ามีชื่อเสียงเรื่องหนึ่งเลย โดยตัวเอกคือ อูเว มนุษย์ลุงธรรมดาๆ หน้าตาบึ้งตึง ขี้หงุดหงิดไม่ยอมเป็นมิตรกับใครตามสไตล์มนุษย์ลุงทั่วไป แต่เอาเข้าจริงผู้เขียนก็ตั้งคำถามกับเราไว้เลยว่า “คุณรู้จักมนุษย์ลุงดีแค่ไหนก่อนจะเกลียดเขา?”
พล็อตไม่หวือหวา แต่ความเรียบง่ายก็นับได้ว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง ตัวละครก็มีความหลากหลาย จนสุดท้ายอูเวก็คือตัวแทนที่พูดถึงความเศร้าและความโดดเดี่ยวที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ สุดท้ายแล้วอูเวเป็นมนุษย์ลุงน่ารังเกียจจริงๆ หรือแค่คนเหงาคนหนึ่งที่โลกไม่เข้าใจเขาเท่านั้น
ใครอ่านเรื่องนี้แล้วชอบคุณนักเขียนเขายังเขียนถึงมนุษย์ป้าและมนุษย์ยายเป็นเรื่องแยกด้วยนะ ซึ่งเวอร์ชั่นไทยทั้งสามเล่มนั้นตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์แมร์รี่โกราวด์ทั้งหมด เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เหมาะจะอ่านเพื่อวอร์มหัวใจในวันที่อากาศเริ่มหนาวเย็นแบบนี้จริงๆ จ้า
ถ้ามีเรื่องที่เล็งไว้แล้วก็เตรียมไปหามาอ่านกันในช่วงวันว่างของทุกคนได้เลยเนอะ ซุกตัวในผ้าห่มหนาๆ จิบกาแฟร้อนๆ สักแก้ว กับหนังสือดีๆ สักเล่ม แค่นี้ก็สามารถใช้เวลาให้หมดวันไปได้อย่างเพลิดเพลินแล้วเนอะ