5 ธันวาคม วันที่คนไทยทุกคนคุ้นเคยและทราบกันเป็นอย่างดีว่ามีความหมายที่สำคัญอย่างไร
ซึ่งความจริงแล้ววันที่ 5 ธันวา เนี้ย ถือเป็นวันสำคัญถึง 4 ต่อด้วยกันนะ ทั้ง
1. เป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบามสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
2. เป็นวันชาติ
3. เป็นวันดินโลก
4. เป็นวันพ่อแห่งชาติ
แต่เราขออนุญาต มาโฟกัสในเรื่องของการเป็นวันพ่อแห่งชาติแล้วกันนะ
เชื่อว่าวันที่ 5 ธันวาคม หลาย ๆ คนคงจะได้หยุดงานเพื่อใช้เวลากับพ่อตัวเองเป็นส่วนใหญ่ แต่ปีนี้วันพ่อดันเป็น วันที่ตรงกับวันพฤหัสบดี ซึ่งพอได้หยุดแล้ว เช้าถัดมาวันศุกร์ก็ยังต้องไปทำงานต่อ5555
นอกจากพาพ่อเที่ยวห้าง หรือที่ใกล้ ๆ แบบ one day trip คงจะไม่จุใจพอ แถมยังต้องแบกสารร่างอันเหนื่อยล้าไปทำงานกันอีกวัน วันพ่อเลยอาจจะเป็นวันที่ไม่ค่อยแฮปปี้มากนัก55555(คิดแทน)
เข้าเรื่องเลยแล้วกัน5555555 ถ้าใครยังไม่มีแพลนไปไหน หรือ ไม่รู้จะทำอะไร ลองเปลี่ยนเป็นอยู่บ้านแล้วใช้เวลาร่วมกันด้วยการดูหนังก็ได้นะ
ดังนั้นวันนี้เราเลยอยากจะมาแนะนำหนัง 5 เรื่องที่ไม่ว่าพ่อหรือลูกก็ดูได้ จะเป็นเรื่องอะไรบ้าง เตรียมจดเช็คลิสท์ แล้ว ตามมาโลดดด
*เนื้อหาด้านล่าง อาจะมีการสปอยล์นิดหน่อย!!
1. Pursuit of happiness
Pursuit of happiness หรือที่มีชื่อไทยว่า “ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้” เปิดประเดิมเรื่องแรกด้วยภาพยนตร์ที่นำแสดงโดยนักแสดงผิวสีมากความสามารถ “Will Smith” ที่เรื่องนี้คือการมารับบทร่วมกับลูกชายแท้ ๆ ของตัวเองอย่าง “Jaden Smith” พ่อลูกแท้ ๆ ที่มารับบทพ่อลูกในหนัง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทำให้ผู้ชมคล้อยตามและอินไปกับการถ่ายทอดออกมาในจอภาพยนตร์ของทั้งคู่
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากชีวประวัติของคริส การ์ดเนอร์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกา โดยได้บอกเล่าเรื่องราวชีวิตก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จ เมื่อต้องหย่าร้างกับภรรยา และ ต้องกลายเป็นพ่อหม้ายลูกติดที่ต้องเลี้ยงลูกชายไปด้วย หลังจากประสบปัญหาทางการเงินเนื่องจากการลงทุนในธุรกิจเฟรนไชน์ที่ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดไว้ ส่งผลให้เขาไม่มีงาน ไม่มีเงิน รวมถึง ไม่มีบ้านให้อยู่ คริส ต้องกลายเป็นคนเร่ร่อน ที่หนีบลูกชายตัวเล็ก ๆ ไปด้วยทุกที่ ในสภาวะที่ยากลำบากนี้ ในหนังจะทำให้เห็นว่าพ่อลูกคู่นี้ยังคงยิ้มให้กันและกันเสมอ
ปล. เรื่องนี้สามารถหาดูได้ใน Netflix ได้แล้วด้วย
2. Like Father , Like Son
Like Father , Like Son ภาพยนตร์จากแดนปลาดิบ ที่มีชื่อไทยว่า “พ่อครับ…รักผมได้ไหม”
ตอนเด็ก ๆ จำได้ว่ามันจะมีละครหรือหนังที่มีพล็อตประมาณว่า นางพยาบาลหยิบลูกสลับกัน ลูกคนโน้น ไปอยู่กับพ่อแม่คนนี้ ส่วนลูกคนนี้ ไปอยู่กับพ่อแม่คนโน้น
ซึ่งจะบอกว่า เรื่องนี้มีพล็อตประมาณนี้แหละ55555 คือลูกถูกสลับกันเลี้ยงมาถึง 6 ปี!!แต่อย่าเพิ่งคิดว่าจะน้ำเน่าละครไทยอะไรประมาณนั้นนะ เราลองนึกตามหลักความเป็นจริง หากวันหนึ่งรู้ความจริงขึ้นมา หากเราเป็นพ่อแม่ เราจะเลือกเอาลูกที่เป็นลูกแท้ ๆ ของตัวเองกลับมาเลี้ยง แล้วคืนลูกชาวบ้านที่เราเลี้ยงมาแล้ว 6 ปี ให้เขาไป หรือ จะปล่อยให้เป็นเหมือนเดิม เลี้ยงลูกสลับสายเลือดกันไปเรื่อย ๆ ….
ไม่ว่าจะมีคำตอบแบบไหน แต่ 2 ครอบครัวในหนัง เลือกที่จะลองเอาลูกแท้ ๆ ตัวเองมาเลี้ยง เอาล่ะ เริ่มไม่ใช่พล็อตแบบที่เราคุ้นเคยกันแล้วใช่มั้ยล่ะ หนังยังเล่าถึงความแตกต่างระหว่างการเลี้ยงดู สถานภาพทางการเงิน อาชีพ ที่ยังไง๊ยังไงก็แสนจะแตกต่างกันของ 2 ครอบครัวนี้ ความสนุกจึงอยู่ในเรื่องการที่ครอบครัวเองก็ต้องพยายามปรับตัวหลังนำลูกจริง ๆ ของตัวเองมาเลี้ยงนั่นแหละ เอาเป็นว่าเรื่องนี้ซึ้งกินใจ ไม่เลี่ยนไป ดูแล้วเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่มากยิ่งขึ้น
3. I am Sam
เป็นภาพยนตร์ที่หลายคนอาจจะเคยดูแล้ว แต่ลองหยิบมาดูกับพ่ออีกครั้ง ก็อาจจะให้อารมณ์ที่แตกต่างกันไปได้นะ เรื่องนี้มีชื่อไทยว่า “สุภาพบุรุษปัญญานิ่ม” เรื่องราวของ”แซม”พ่อ ที่มีลูกสาวหนึ่งคน มันก็เหมือนจะดีไม่มีอะไรแปลก ถ้าพ่อไม่ได้มีระดับสติปัญญาเทียบเท่าเด็กอายุ 7 ขวบ (เอ้า แล้วงี้พ่อไปทำแม่ท้องได้ไง รอดูในหนังอีกทีเค้ามีเหตุผลนะ)
แค่รู้ว่าพ่อมีระดับสติปัญญาแค่นี้ ก็ทราบถึง Conflict ของเรื่องแล้วว่า จะเป็นยังไงต่อ เพราะในขณะที่ลูกเติบโตขึ้นและมีพัฒนาเหมือนคนปกติตามระยะเวลา แต่แซม ยังคงเป็นพ่อที่มีระดับสติปัญญา 7 ขวบเท่าเดิม แต่กระนั้นสัญชาติญาณความเป็นพ่อของแซมก็ไม่ได้บกพร่อง ซึ่งในหนังนั้นเล่าว่าแม้แซมจะรักลูกมากแค่ไหน แต่ในสภาวะความเป็นจริงก็ต้องยอมรับว่าแซมไม่ได้มีประสิทธิภาพพอที่จะเลี้ยงดูคนคนหนึ่งได้ดีพอ
แน่นอนว่าเรื่องนี้ซึ้งน้ำตาแตกสุด ๆ ใครพ่อลูกคอหนังสายซึ้ง สายดราม่าต้องดูจริง ๆ เรื่องนี้ แนะนำเตรียมทิชชู่ให้พร้อมเลยนะ ปล.ลูกสาวของแซมในเรื่องนี้รับบทโดย แอล เฟนนิ่ง สาวน้อยออโรร่า นั่นเอง ใครอยากชมความน่ารักในวัยเด็กของเธอ ก็อย่าพลาดเชียว
4. เอ๋อเหรอ
ถ้าฝั่งฮอลลีวูดมี ไอ แอม แซม ฝั่งไทยก็ต้องยกให้เอ๋อเหรอ นี่แหละ ต้องยอมรับว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เราลบภาพการเป็นตลกในแก๊งสามช่าของโหน่ง ชะชะช่า ไปซะสนิท
เรื่องราวของ "สำรวย" พ่อที่เป็นดาวน์ซินโดรม (เรื่องนี้โชคดีหน่อยที่พ่อไม่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียวเหมือนข้างแซม) ที่ต้องออกไปตามหาลูกที่กรุงเทพ ซึ่งระหว่างที่ตามหาลูกชายนั้นก็เกิดเรื่องราวและปัญหาต่าง ๆ มากมายที่ทำให้เราได้เห็นถึงความรัก ความเสียสละ ของคนที่เป็นพ่อ อาจจะคิดว่าเป็นการเน้นหนักที่ความดราม่าเยอะไปไหม ขอบอกเลยว่าไม่ขนาดนั้น ระหว่างทางหนังมีจุดพักให้เราอยู่บ้าง คือความน่ารักของนักแสดง และ โหน่ง ชะชะช่า นั่นเอง อีกทั้งหนังยังคงไม่ทิ้งลายการเป็นนักแสดงตลกของโหน่ง เรายังได้หัวเราะแบบน้ำตาตื้นกันอยู่บ้าง
เรื่องนี้ถือเป็นอีกเรื่องที่พจน์ อานนท์ ฉีกภาพจำเดิม ๆ ออกมาทำหนังแนวครอบครัว ที่เน้นความอบอุ่น ถือเป็นหนังไทยอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรพลาด เรียกได้ว่าเรื่องนี้ให้พ่อดูก็ซึม ให้ลูกดูก็ซึ้ง ได้
5. About Time
เห็นใบปิดหนังครั้งแรกคิดว่าเป็นหนังรักเลี่ยน ๆ ไม่น่าใช่แนวเท่าไหร่ แต่พอดูจบแล้วถึงได้รู้ว่าตัวเองคิดผิดไปหมด55555 About time ชื่อไทยว่า "ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง) รัก" ถือว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่ครบรส ดูได้ทุกเพศทุกวัยจริง ๆ
เรื่องราวของ “ทิม” ที่ค้นพบความจริงว่า ผู้ชายทุกคนในบ้านมีมรดกตกทอดต่อ ๆ กันมานั่นก็ “สามารถเดินทางข้ามเวลาได้” ส่งผมให้ทิมสามารถที่จะย้อนเวลาไปแก้ไขเรื่องราวที่ผิดพลาดได้ตลอด
แต่บางครั้ง การย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต ก็ไม่สามารถช่วยให้อะไรดีขึ้นมาได้ กลับกันอาจจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ
เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นของธรรมดา วันที่พ่อของทิมจากไป ทิมจึงยังสามารถย้อนเวลากลับไปหาพ่อและบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างของตัวเองเหมือนครั้งที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ด้วยได้เสมอ
เป็นหนังฟีลกู๊ดที่อมยิ้มทั้งเรื่องแต่ดันมาร้องไห้ให้กับฉากพ่อลูกตีปิงปองซะได้ (เพราะอะไรถึงร้อง ต้องไปชมกันเอาเอง) ส่วนตัวเรื่องนี้ไม่ดราม่า เป็นหนังที่ให้ความรู้สึกอิ่มเอมใจไปพร้อมกับการอมรมสั่งสอนลูกของคนเป็นพ่อจวบจนครั้งสุดท้าย
ไม่เพียงแต่เรื่องรักร้อนแรงของหนุ่มสาว เรื่องนี้ยังเล่าไปถึงความรักของพี่น้อง และพ่อลูก อีกด้วย ดูเรื่องนี้แล้วก็อยากใช้ชีวิตให้ดี เพื่อคนที่เรารักเหมือนกันแฮะ :) ถ้าอยากรู้ว่าดียังไง ก็ลองชวนคนที่รัก หรือพ่อ มาดูด้วยกันในวันหยุดนี้ได้เลย ที่สำคัญเรื่องนี้ก็ลงใน Netflix แล้วเช่นเดียวกันนะ
วันพ่อ อาจจะไม่จำเป็นต้องพาพ่อไปเที่ยวเสมอไป ความสุขของคนเป็นพ่อคงไม่มีอะไรมากไปกว่าการได้ใช้เวลาอยู่กับลูก
หากวันที่ 5 นี้ใครยังไม่มีแพลนจะทำอะไร ลองหยิบหนัง 5 เรื่องนี้เราแนะนำ ชวนพ่อมานั่ง/นอน ใช้วันหยุดกับท่านกันอย่างมีความสุข หรือ ถ้าหากใครมีหนังเรื่องอื่น ๆ ที่อยากแนะนำ ก็ลองแนะนำกันเข้ามาได้นะ
สุดท้ายนี้เราขอให้คุณพ่อ และ ลูก ๆ ของเพจคอนโดติดดอย มีความสุขในวันพ่อแห่งชาตินี้กันทุก ๆ คนด้วยนะคร้าบโผมม :)