ปี 2562 ถือเป็นอีกปีปราบเซียนสำหรับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยเลยก็ว่าได้ ซึ่งคงพอจะทราบกันเป็นอย่างดีเกี่ยวกับสถานการณ์อสังหาฯที่อาจจะไม่ได้คล่องตัวนัก ทั้งเรื่องของมาตรการภาครัฐที่ส่งผลต่อตลาดอสังหาเต็ม ๆ

 

        อย่างทางชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ ก็ได้เผยว่า ปี 2562 รายได้ของบริษัทจะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่อัตราเติบโต 15% เนื่องจากการเผชิญความท้าทายในภาคอสังหา ไม่ต่างกับผู้ประกอบอสังหาเจ้าอื่น ๆ ที่เกิดจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งส่งผลให้กำลังซื้อชะลอตัวตาม และมาตรการคุมเข้มสินเชื่ออสังหาฯ หรือ LTV ที่ส่งกระทบต่อการขาย การโอนโครงการ 

 

        โดยที่รายได้จากโรงแรมศรีพันวาลดลง จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าก็ได้ส่งผลให้ตลาดท่องเที่ยวทำให้นักท่องเที่ยวชะลอการเดินทางเที่ยวในไทยลง ซึ่งช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาพบขาดทุนกว่า 200 ล้านบาท ที่สำคัญยังมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น จากการปรับปรุงโครงการอีกด้วย ทั้งวิลล่า ห้องประชุม และการก่อสร้างเพิ่มเติมอย่างโครงการทิวทะเล หัวหิน ซึ่งส่วนนี้ก็เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 แต่ก็ยังมีลุ้น ว่าจะสามารถพลิกกระดานกลับมามีกำไรจากการโอนโครงการแนวราบระดับลักชัวรี่อีก 2 โครงการอย่าง บ้านอิสสระ พระราม 9 และบ้านอิสสระ บางนา ที่จะทยอยโอนในไตรมาส 4 ปี 2562

 

        กลยุทธ์การพัฒนาโครงการและการขายของเค้า จะหันมาเน้นจับกลุ่มลูกค้าระดับบนและระดับลักชัวรีมากขึ้น เพราะกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งได้เริ่มจากการเปิดโครงการ ดิ อิสสระ สาทร ที่มีมูลค่า 2,400 ล้านบาท โดยเป็นคอนโดไฮไรส์ สูง 37 ชั้น จำนวน 270 ยูนิต จะเริ่มก่อสร้างในปี 2563 ราคาเริ่มต้น 4.88 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 1-2-60 ไร่ บริเวณถนนจันทน์-สาทร มีขนาดพื้นที่ห้องเริ่มต้น 32.75-188 ตารางเมตร

 

        ซึ่งก็ยังได้วิเคราะห์อีกว่า แนวโน้มอสังหาฯ ปี 2563 ประเมินว่าตลาดทรงตัว ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวตามวัฏจักรต่อเนื่อง หลังจาก 2-3 ปีที่ผ่านมาซัพพลายออกมามาก กำลังซื้อน้อยลง และเศรษฐกิจที่เติบโต 3-4% มาจากการส่งออกเป็นหลัก สิ่งที่ต้องระมัดระวังมากที่สุดในการทำธุรกิจคือสภาพคล่องบริษัทเลือกที่จะทำพรีเมียมโปรดักต์ เพื่อให้ขายได้ง่าย ไม่ใช่ทำแล้วขายไม่ได้ จึงต้องเลือกทำเลที่ใช่ และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ขายได้แน่นอน ยกตัวอย่างโครงการ ดิ อิสสระ สาทร แทนที่จะเป็นซูเปอร์ลักชัวรี ปรับมาเป็นไฮเอนด์ แทน

 

        ก็ยังคงต้องจับตามองกันไปอีกเรื่อย ๆ นะหมีว่า ต้องมาดูว่าในปีหน้าเมื่อตลาดเกิดการทรงตัวแล้ว ในภาคอสังหานั้นแต่ละเจ้าจะมีผลประกอบการณ์ที่ดีขึ้นมากน้อยเพียงใด อีกเรื่องที่หมีน่าจะมีโอกาสได้นำมาบอกกล่าวเพื่อน ๆ กันอีกแน่ ๆ ก็คงจะเป็นเรื่องของการทำกลยุทธ์ของแต่ละดีเวลลอปเปอร์เค้าว่าจะปรับตัวให้เข้ากับภาวะเศรษฐกิจปีหน้าอย่างไรนั่นเอง