เมื่อเร็วๆ นี้ การรถไฟแห่งประเทศไทยได้จัดงานทดสอบความสนใจของภาคเอกชนในการลงทุน (Market Sounding) เพื่อแนะนำและเสนอแนวทางการพัฒนาพื้นที่บริเวณ นิคม กม. 11 พร้อมรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปแบบการพัฒนาโครงการจากกลุ่มผู้ประกอบการเอกชน ณ ห้องพิมานแมน โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการลงทุนในโครงการฯ ไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท โดยผู้ประกอบการเอกชนภาคอสังหาริมทรัพย์ต่างให้ความสนใจในโครงการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว อีกทั้งยังเสนอว่าควรเป็นการลงทุนจากผู้ประกอบการหลายรายที่ชำนาญในธุรกิจเฉพาะด้าน นอกจากนี้ ยังเสนอว่าการรถไฟฯ ควรพิจารณาอนุมัติระยะเวลาในเช่าที่ดินแก่เอกชนที่เข้ามาลงทุนอย่างน้อย 50 ปี
ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความสนใจในโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณ นิคม กม. 11 เนื่องจากมองว่าที่ตั้งโครงการเป็นที่ดินที่มีศักยภาพ ตั้งอยู่ในบริเวณกลางเมือง และพื้นที่ที่มีลักษณะใหญ่ ซึ่งหาได้ยากในใจกลางเมือง และในอนาคตพื้นที่บริเวณนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมเมื่อสถานีกลางบางซื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ
ที่ดินบริเวณนิคมกม.11 นี้เป็นหนึ่งในที่ดิน3 แปลงที่ การรถไฟฯได้จัดทดสอบความสนใจของภาคเอกชนในการลงทุน (Market Sounding) ดังนี้คือ ที่ดินสถานีบางซื่อพื้นที่กว่า 305 ไร่, ที่ดินนิคม กม.11 เนื้อที่กว่า 279 ไร่ และที่ดินสถานีแม่น้ากว่า 277 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 100,000 ล้านบาท
โดยที่ดินทั้ง3แปลงหลังจากรับฟังความคิดเห็นแบบรอบด้านเสร็จจะนำมาประมวลผลและปรับปรุงเสร็จภายในเดือนมีนาคม และจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ในกลางปีนี้ และหากเป็นไปตามแผนงานคาดว่าน่าจะเปิดให้เอกชนเข้ามาประมูลได้ในปี 2560
นายชลสิญจ์ วัฑฒนาธร Senior Vice President บริษัท แอลแอนด์เอช โฮเทล แอนด์ มอลล์ จำกัด ให้ความเห็นว่า
หากโครงการนี้ประกอบด้วยผู้ประกอบการหลายรายย่อมส่งผลดีต่อการรถไฟแห่งประเทศไทย เนื่องจากส่งผลดีในแง่ความชำนาญของผู้ประกอบการ เช่น ผู้ประกอบการที่มีความชำนาญในการพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ผู้ประกอบการที่มีความชำนาญในการพัฒนาอาคารสำนักงาน หรือธุรกิจค้าปลีก เป็นต้น อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการรถไฟฯ ในแง่ผลตอบแทนค่าเช่าที่ดิน เพราะจะได้รับผลตอบแทนการเช่าที่ดินจากผู้ประกอบการหลายรายที่เข้ามาร่วมในโครงการ แทนที่จะได้รับผลตอบแทนจากผู้ประกอบการเพียงรายเดียวที่เข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการ
นายชลสิญจ์ วัฒนาธร Senior Vice President บริษัท แอลเอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด
ในส่วนระยะเวลาสัญญาเช่า ผู้ประกอบการเห็นว่า ระยะเวลาของสิทธิการเช่าควรไม่น้อยกว่า 50 ปี และ ยิ่งมีความน่าสนใจมากหากระยะเวลายาวถึง 99 ปี ซึ่งเทียบเท่ากับประเทศเพื่อนบ้าน
นายพสุธา สร้อยทอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายจัดหาที่ดินและพัฒนาโครงการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ได้ให้ข้อเสนอแนะว่า
การพัฒนาโครงการที่มีที่พักอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกับการพัฒนาศูนย์ประชุม อาจส่งผลกระทบต่อผู้พักอาศัยในโครงการเนื่องจากเมื่อมีการจัดงานต่างๆ จำนวนคนที่เดินทางเข้ามาเที่ยวชมงานในศูนย์ประชุม จะส่งผลให้เกิดการจราจรที่ติดขัดในโครงการ
นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้ให้ข้อเสนอแนะในการพัฒนาโครงการนี้ว่า
กำหนดเวลาการพัฒนาอาคารในที่ดินแต่ละแปลง และถนนในโครงการที่ผ่านหน้าโครงการ ควรจะจับคู่การพัฒนาให้ดี เนื่องจาก หากการพัฒนาถนนเสร็จแต่การพัฒนาโครงการซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ถนนสร้างเสร็จแล้วยังไม่เสร็จ ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อถนนในโครงการ
ข้อมูลโครงการ
ชื่อโครงการ : โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณกม. 11
สถานที่ตั้ง : ตั้งอยู่ติดถนนวิภาวดี-รังสิต และ ถนนกำแพงเพชร 2 โดยที่ดินฝั่งที่ติดด้านถนนวิภาวดีรังสิต มีอาคารสำนักงานบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ อาคารสำนักงานเอ็นเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ ตั้งอยู่ในปัจจุบัน ที่ดินของโครงการตั้งอยู่ใน เขตจตุจักร
ขนาดที่ดิน : เนื้อที่ประมาณ 279 ไร่
การใช้ประโยชน์ในที่ดินปัจจุบัน : ที่ทำการ ที่พักอาศัยนิคมรถไฟ คลับเฮ้าส์/สนามซ้อมกอล์ฟ ที่ทำการฝ่ายบริหารงานบุคคลด้านฝึกอบรม โรงเรียนวิศวกรรมรถไฟ และอื่นๆ