เช้าวันนี้ (จ. 20 มกราคม 2563) หลายๆคนในกทม.คงได้เห็นภาพฝุ่นควันปกคลุมทั่วเมืองกันแบบ
“หนาแน่น” เป็นพิเศษ บรรยากาศคล้ายๆจะ
“มาคุ” นี่ คนส่วนใหญ่คงจะทราบกันดีแล้วว่ามันไม่ใช่หมอกสวยๆแต่ว่าเป็นฝุ่นพิษที่ผสมปนเปกันหลายขนานนำทัพโดยฝุ่นขนาดเล็กที่เรียกว่า
PM2.5 ซึ่งจริงๆก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่เพราะบรรยากาศฝุ่นนี้มีมาให้เห็นกันสักพักแล้วสำหรับ “ฤดูฝุ่น” ของกทม.ในปีนี้
จริงๆแอดก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญอะไรเรื่องนี้หรอก อาศัยว่าอ่านๆเอาตามแหล่งนั้นแหล่งนี้ แต่ถือว่าตัวเองเป็นผู้ได้รับผลกระทบเนื่องจากพึ่งพาตัวเองและลูกเล็กๆไปหาหมอมาด้วยอาการที่น่าจะเป็นหวัด แต่หมอบอกว่าไม่มีอักเสบ ไม่มีติดเชื้อ น่าจะ “แพ้ฝุ่นมลภาวะ” ที่ค่อนข้างสาหัสอยู่ในกทม.นี้ เลยถือว่าเป็นผู้ “ได้รับผลกระทบระยะสั้น” ละกัน และสิ่งที่เห็นเมื่อเช้าคือคนใส่หน้ากากอนามัยน้อยมากๆ เท่าที่เห็นไม่น่าจะถึง 10% ตามท้องถนนและรถไฟฟ้า วันนี้เลยอยากออกมาพูด 2 ประเด็นในเรื่องนี้ครับ
เราดูถูกฝุ่นกันเกินไปรึเปล่า?
คุณเป็นคนหนึ่งรึเปล่า ที่บอกว่า “ใส่หน้ากากจะกันได้แค่ไหนเชียว” “ก็เป็นอย่างนี้กันมานานแล้ว รุ่นพ่อรุ่นแม่เราก็ไม่เห็นเป็นไร” “ยังปกติดีอยู่นี่ ไม่ได้ป่วย ตรวจสุขภาพตัวเลขยังดีอยู่เลย” “เราไม่ใช่เด็ก คนท้อง คนชรา เราแข็งแรงไม่เป็นไรหรอก” จริงๆคนใกล้ชิดแอดก็มีเคยบอกแอดอย่างนั้นเหมือนกันนะ จนมาวันนึงได้เห็นข้อมูล รายงาน หรือ clip มากขึ้น มาถึงตรงนี้ขออย่าพึ่งดรามาว่า clip พวกนั้นมันเชื่อถือได้แค่ไหน แต่จะให้แอดเปรียบเปรย แอดว่ามันคงเหมือนข้อมูลใหม่ที่เรายังไม่เคยเห็นผลกระทบระยะยาวรึเปล่า แอดขอยกตัวอย่างเรื่องที่เคยอ่านมา (อีกแล้ว ข้อมูลจริงรึเปล่าก็ไม่รู้เนอะ) ให้ฟังละกัน
ในอดีต เคยมีการใช้สารเรเดียมในการตกแต่งความงามกัน โดยที่ไม่มีใครเอะใจว่ามันคือสารกัมมันตรังสี มีการใช้สาวแรงงาน “เลีย” พู่กันก่อนที่จะป้ายเรเดียมลงบนเข็มนาฬิกา จนกว่าจะพิสูจน์ได้ก็ต้องไปขุดหลุมศพขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ว่าศพยังเรืองแสงอยู่เลย อีกเรื่องก็เคยได้ยินว่าในอดีตเคยเชื่อว่าควันบุหรี่สามารถใช้รักษาโรคบางอย่างได้ จนมาพ.ศ.นี้เรารู้กันหมดแล้วว่าบุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
แล้วบรรยากาศมาคุด้วยควันพิษนี่ก็เทียบเท่าการสูบบุหรี่เหมือนกันนะ ต่างกันแค่ว่าเราจะสูบมากสูบน้อยตามความเข้มข้นของฝุ่น และลูกเล็กๆคนแก่ก็โดนบังคับให้สูบบุหรี่กันถ้วนหน้า จากข้อมูลที่เห็นๆกันบ้าง แอดจะไม่แปลกใจเลยหากคนเป็นมะเร็งในที่ต่างๆของร่างกายจะเพิ่มมากขึ้นอีกเยอะ เพียงแต่ว่ามันอาจจะใช้เวลาอีกหลายปีหรือเป็นสิบปีถึงจะเห็นตัวเลขเท่านั้นเอง
แอดอยากให้ป้องกันตัวเองด้วยการใส่หน้ากากกันฝุ่นกันหน่อยนะ แบบที่มีเขียนว่า PM2.5 ก็มีขายเยอะแยะตาม 7-11 ก็มี ไม่ต้องใช้แบบ N-95 ที่มันอึดอัดก็ได้ รู้แล้วก็ป้องกันตัวเองกันดีกว่านะครับ
เรา “เงียบ” เรื่องนี้กันเกินไปไหม?
หลายคนอาจจะบอกว่า “แล้วเราจะทำอะไรได้ล่ะ?” “คนมีอำนาจยังไม่เห็นสนใจกันเลย” หรือ “มันไกลตัวเราเกินไปรึเปล่า แค่ทำมาหากินก็หมดวันแล้ว” สิ่งที่แอ๊ดอยากจะบอกคือ สิ่งนึงที่เราทำได้คือ “ไม่เงียบ” ครับ อาจจะไม่ต้องถึงกับไปก่อม๊อบหรือวิ่งไล่ฝุ่นกัน (อย่าออกไปวิ่งกันตอนที่ฝุ่นเยอะๆล่ะ) แต่เราสามารถแชร์เรื่องนี้ผ่าน social media กันแบบมีสติและมีอารยะกันได้นะครับ
เรื่องนี้อาจจะใหญ่เกินกว่าคนใดหรือกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง จะแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่สาเหตุของฝุ่นตั้งแต่ รถยนต์ดีเซล, การก่อสร้าง, การเผาไร่, โรงงานอุตสาหกรรม, หรือแม้แต่การปิ้งไก่ ยังมีตัวเลขที่คนของภาครัฐออกมาพูดแล้ว “ดูตัวเลขแปลกๆ” หรือทางฝั่งสาธารณสุขก็ออกมาบอกว่า don’t over react นะ ตัวเลขฝุ่นยังอันเดอร์เยียร์รี่เอฟเวอเรจ อยู่เลย สบายๆไม่ต้องกังวลกันนะประชาชน ฟังแล้วก็หันออกไปมองนอกหน้าต่างที่ตึกใกล้ๆเริ่มจะมองเห็นไม่ชัดทุมากขึ้นทุกที ก็ได้แต่เชื่อสิ่งที่เห็นว่า ณ ปัจจุบันนี้ อากาศดูไม่ค่อยเฮลต์ตี้แน่ๆ
เท่าที่แอดอ่านๆมา แอดว่าเรื่องนี้มันยากมาก เพราะมันเกี่ยวกับหลายๆกระทรวงมากเลย ไม่ให้เกษตรกรเผาเค้าก็อยู่ไม่ได้ ไม่ให้ใช้ดีเซลแล้วจะขนส่งยังไง ใช้ทะเบียนคู่คี่ก็กระทบรถที่ซื้อมาแล้วอีก หา hot spot จากดาวเทียม เอ้า ดันไปเกิดจากประเทศเพื่อนบ้าน กลายเป็นประเด็นระหว่างประเทศที่ไม่ค่อยมีใครอยากจะเริ่มอีก
แต่ที่แอดอยากให้มองคือผลของมัน ถ้าเราเงียบ ลองนึกดูว่าถ้าฝุ่นพิษนี่มันหนักขึ้นเรื่อยๆไปสัก 10 ปี คนป่วยล้นโรงพยาบาล รายได้คนลดลงเพราะต้องเสียเงินไปรักษาตัวมากขึ้นกับซื้อเครื่องกรองฝุ่น ธุรกิจนอกบ้านล้มระเนระนาดเพราะคนไม่ออกจากบ้าน ราคาอสังหาไม่ขึ้นอีกต่อไปเพราะคนต่างชาติเค้าไม่มาซื้อเมืองในฝุ่นพิษแบบบ้านเราหรอก และอีกสารพัดปัญหาที่ถ้าไม่ใช่รัฐบาลแบบปักกิ่งคงแก้แบบทุบโต๊ะไม่ได้แน่ๆ แอดคิดว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจนี่น่าจะอีกไม่ไกลละนะที่จะได้เห็น ส่วนผลกระทบเรื่องสุขภาพนี่ เห็นเป็นรูปธรรมตามโรงพยาบาลแล้วเรียบร้อย
โดยสรุป แอดอยากให้ทุกคนได้ “ตระหนัก” ถึงผลกระทบของ PM2.5 จะให้มันดูตระหนกหน่อยก็ท่องๆไว้ว่าไม่ป้องกันวันนี้ อาจจะเป็นมะเร็งในวันหน้า และถ้าเป็นไปได้ ก็ช่วยกันส่งเสียงหน่อย เผื่อจะได้ไปถึงข้าราชการ นักการเมือง ฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล หรือไปจนถึงท่านนายกรัฐมนตรี (งดดรามาการเมืองนะจ๊ะ) ที่จะได้หาสาเหตุและเริ่มแก้ปัญหานี้อย่างจริงๆ (ไม่ใช่แบบเอาน้ำไปพ่นตามไซต์ก่อสร้างหรือตามท้องถนนนะ ฝุ่นน่าจะไม่ลดแถมเสียน้ำฟรีๆอีก)ซึ่งน่าจะใช้เวลาเป็นสิบปีในการแก้ไข เราควรที่จะไม่นิ่งเงียบก้มหน้ารับสภาพ เราควรจะที่ส่งเสียงให้ผู้ที่สามารถมีอำนาจบังคับใช้กฎหมายในทุกระดับได้รู้ตัว ว่าเรายังรอท่านมาช่วยแก้ปัญหาและยินดีช่วยในส่วนที่จะทำให้ลูกหลานและคนรุ่นหลังของเรา ไม่ต้องแบกถังออกซิเจนออกนอกบ้านเป็นมนุษย์อวกาศกันนะครับ
อะแฮ่ม สุดท้ายแล้ว ช่วย like ช่วย ment ช่วย share บทความนี้ ก็เป็นการบอกได้ว่าเราจะไม่ “เงียบ” นะครับ
ปล. รูปนี้เป็นค่าฝุ่น PM2.5 สายๆวันนี้ที่บ้านแอดในกทม.