ได้เวลาดูกันให้ตาแฉะ เมื่อ Netflix ประกาศว่าในที่สุดพี่แกก็สามารถขนเอาการ์ตูนแอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์ของ Studio Ghibli มาฉายบนแพลตฟอร์มสตรีมมิงได้แล้วในที่สุด!
ตอนที่มีข่าวออกมาหมีจำได้ว่ามีคนเฮกันสนั่นโซเชียล เพราะก่อนหน้านี้หลายคน (แน่นอน รวมถึงหมีด้วย) มักจะไปบ่นๆ กันว่า "Netflix เอาการ์ตูนจิบลิมาลงเถอะนะ พลีสสสส"
ซึ่งไอ้เราก็พอจะเข้าใจว่าทาง Netflix คงจะพยายามแล้วแหละ แต่เจรจามานานก็ไม่เห็นเป็นผลสักทีจนนึกว่าทางค่ายสตรีมมิงค่ายนี้เค้าเลิกล้มความตั้งใจไปแล้ว ที่ไหนได้ดันเป็นเสือซุ่ม โผล่มาทีก็ประกาศเลยว่าบรรดาสาวกเตรียมปูพรมแดงต้อนรับแอนิเมชันของค่ายจิบลิได้เลยจ้า
แถมมาคราวนี้คือจัดเต็มจุกๆ เพราะตอนแรกคิดว่าคงดีลมาได้ไม่กี่เรื่อง แต่หมีคงประเมินคุณพี่แกต่ำเกินไป เพราะเค้าดันคว้ามาได้ถึง 21 เรื่อง โอ้โห รู้สึกว่าจ่ายเงินไปทุกเดือนๆ นี่ได้ดูคุ้มทุนเสียที 5555
แต่ 21 เรื่องนี้ไม่ได้เข้าพร้อมกันนะ แต่วางแพลนเข้าทุกวันที่ 1 ของเดือน ไล่ตั้งแต่เดือนกุมภาฯ ไปจนถึงเดือนเมษาฯ ลงเดือนละ 7 เรื่อง 3 เดือนก็ 21 เรื่องเป๊ะๆ
หลายคนอาจจะเคยดูแอนิเมชันของค่ายดังค่ายนี้มาบ้างแล้ว แต่หมีว่าก็มีอีกหลายคนอีกเหมือนกันที่อาจจะเคยดูเฉพาะเรื่องที่เป็นที่รู้จักกันมากหน่อย (เพราะว่ากันตามตรง ก่อนหน้านี้บางเรื่องก็หาดูยากพอควรในบ้านเรา) แต่คราวนี้หมีเห็นลิสต์แล้วเป็นปลื้ม เพราะยกทัพมาลงฉายในแพลตฟอร์มนี้กันหมด ปาดหน้า HBO Max ไปเบาๆ
ดังนั้นในฐานะของคนที่กวาดดูมาแล้วทุกเรื่อง หมีจึงขออาสาทำหน้าที่รีวิวสั้นๆ ถึงความดีงามของแอนิเมชันค่ายจิบลิที่ได้ลงฉายใน Netflix เริ่มต้นกันด้วย 7 เรื่องแรกประจำเดือนกุมภาพันธ์ ที่บอกได้คำเดียวเลยว่าทั้งเจ็ดเรื่องนั้นเป็นเนื้อหาที่สุดแสนจะประทับใจ ดูเท่าไรก็ไม่มีวันเบื่อจริงๆ
สำหรับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ เรื่องที่ลงประเดิมก่อนใน Netflix ก็จะมี...
- Laputa Castle in the Sky ลาพิวต้า พลิกตำนานเหนือเวหา (1986)
- My Neighbor Totoro โทโทโร่ เพื่อนรัก (1988)
- Kiki’s Delivery Service แม่มดน้อยกิกิ (1989)
- Only Yesterday ในความทรงจำที่ไม่มีวันจาง (1991)
- Porco Rosso พอร์โค รอสโซ สลัดอากาศประจัญบาน (1992)
- Ocean Waves สองหัวใจ รักหนึ่งเดียว (1993)
- Tales from Earthsea ศึกเทพมังกรพิภพสมุทร (2006)
Laputa Castle in the Sky (1986)
มาเริ่มกันที่เรื่องแรก กับ Laputa Castle in the Sky ภาพยนตร์แอนิเมชันลำดับที่สองของสตูดิโอจิบลิต่อจากเรื่อง "Nausicaä of the Valley of Wind" (ลงฉาย Netflix วันที่ 1 มีนาคม) เป็นเรื่องราวการผจญภัยของเด็กหนุ่มคนงานเหมือง กับเด็กสาวลึกลับที่รัฐบาลต้องการตัวเพราะเธอครอบครองศิลาลอยฟ้าของอาณาจักรลาพิวตา อาณาจักรลอยฟ้าในตำนานที่เชื่อกันว่าล่มสลายไปแล้ว โดยที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยมนต์วิเศษรวมไปถึงสมบัติมากมายซุกซ่อนอยู่
เราจะได้สนุกสนานไปกับการผจญภัยของเด็กทั้งสอง คอยลุ้นให้พวกเขาหนีการไล่ล่าของเจ้าหน้าที่รัฐและโจรสลัดโดล่าไปได้ด้วยดี แถมยังมีซีนอบอุ่นหัวใจกับหุ่นผู้พิทักษ์ที่ทำหน้าที่คุ้มครองสวนลอยฟ้า แม้จะเป็นสวนร้างและหุ่นหลายตัวก็ผุพังไปตามกาลเวลา แต่หุ่นที่ยังเหลือก็คอยทำหน้าที่ดูแลทุกชีวิตไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ต่อไป
แอนิเมชันเรื่องนี้มีอายุกว่า 30 ปีแล้วแต่ก็ยังมีเสน่ห์อยู่ แถมเป็นการสร้างภาพจำของความเป็น "จิบลิ" ได้ดีอีกเรื่องหนึ่งด้วย ทั้งเรื่องของการรักธรรมชาติ (ซึ่งแอนิเมชั่นหลายเรื่องของจิบลิจะเน้นหลักปรัชญาในการดูแลรักษาธรรมชาติในแบบ "ย่อยง่าย" ที่สุด) รวมไปถึงคาแรคเตอร์คุ้นตาที่ต่อให้ไม่เคยดูแต่ก็ต้องเคยเห็นเจ้าหุ่นยนต์ผู้พิทักษ์ตัวนี้แน่ๆ ที่สำคัญคือเนื้อเรื่องเข้าใจง่าย เป็นพล็อตแบบร่วมสมัยที่ต่อให้ผ่านไปกี่ปีก็ไม่เคยเก่า
My Neighbor Totoro (1988)
มาต่อกันที่สุดยอดของความคลาสสิก อย่าง My Neighbor Totoro แอนิเมชันที่ครองใจใครหลายๆ คน (ใช่! หมีด้วย) หยิบมาดูแต่ละครั้งก็จะได้ความคิดที่ตกผลึกแตกต่างกันไปเพราะเป็นหนึ่งในแอนิเมชันของค่ายจิบลิอันดับต้นๆ ที่ซุกซ่อนความหมายไว้แบบสุดจะแยบยล เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูยิ่งดีจริงๆ เรื่องนี้
My Neighbor Totoro พูดถึงพี่น้องสองสาวที่ใช้ช่วงเวลาหน้าร้อนกับพ่อในพื้นที่ชนบทของประเทศญี่ปุ่น ส่วนแม่พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เด็กทั้งสองคนได้เจอกับภูติตัวใหญ่ที่ชื่อว่าโตโตโร่ เรื่องนี้เต็มไปด้วยมิตรภาพระหว่างเด็กๆ และภูติประจำป่า ช่วงชีวิตวัยเยาว์ในชนบทที่น่าประทับใจ รวมถึงการเลือกที่จะไม่นำเสนอด้านลบหรือก็คือไม่มีตัวร้ายในแอนิเมชั่นเรื่องนี้ มีแค่ด้วยความอิ่มเอมใจที่ได้เท่านั้น
ดนตรีประกอบในเรื่องก็เป็นการประพันธ์ที่สุดแสนจะลึกซึ้ง ได้ยินทีไรจะนึกถึงภาพชนบทในญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่เสมอ ไม่ต้องพูดถึงคาแรคเตอร์ที่เป็นตำนานอย่างภูติโตโตโร่ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ตัวแทนของสตูดิโอจิบลิไปแล้ว โด่งดังขนาดนี้หมีไม่แปลกใจเลยที่ My Neighbor Totoro จะเป็นผลงานลำดับแรกๆ ของสตูดิโอจิบลิที่ถูกพูดถึงมากที่สุดเรื่องหนึ่งล่ะนะ
Kiki’s Delivery Service (1989)
สำหรับเรื่องต่อมาอย่าง Kiki’s Delivery Service เองก็นับได้ว่าเป็นตัวชูโรงของจิบลิอีกเรื่องเหมือนกัน แถมยังได้ใจสาวๆ ทั้งหลายอีกด้วยเพราะความน่ารักสดใสของแม่มดน้อยกิกินี่ต้องบอกเลยว่าเห็นแล้วใจละลายเหลือเกิน
และก็ตามชื่อเรื่องเลย แอนิเมชันเรื่องนี้พูดถึงแม่มดกิกิที่ออกเดินทางไปกับแมวของเธอพร้อมไม้กวาดในมือเพื่อค้นหาตัวเองในเมืองที่ไม่มีแม่มดอื่นมาอาศัยอยู่ ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยมนุษย์ กิกิต้องปรับตัวและใช้ความสามารถของตัวเองให้เป็นประโยชน์ จนกระทั่งสุดท้ายแล้วก็ได้งานเป็นคนส่งขนมปังให้กับครอบครัวทำขนมปังที่เธอไปอาศัยอยู่ด้วยนั่นเอง
แอนิเมชันเรื่องนี้เน้นไปที่ชีวิตประจำวันของกิกิและมิตรภาพที่ได้รับจากเพื่อนใหม่ในเมืองใหม่ ทั้งต่างวัยและต่างเพศ เป็นแอนิเมชันที่มีลายเส้นน่ารักฉบับจิบลิแถมเป็นหนึ่งในเรื่องที่ถูกพูดถึงมากในบรรดาผลงานของสตูดินี้เลยล่ะ
Only Yesterday (1991)
สำหรับในเซ็ทที่ฉายวันที่ 1 กุมภาฯ นี้ ถ้าพูดถึงเดอะเบสต์ของหมีแล้วล่ะก็ หมียกให้ My Neighbor Totoro ครองบัลลังก์ แต่ถ้าถามว่าอันดับสองคือเรื่องไหน หมีก็คงต้องชูป้ายว่า Only Yesterday นี่แหละจ้า
Only Yesterday เป็นแอนิเมชันแสนอบอุ่นที่ดูแล้วก็ทำให้เรานึกย้อนไปสมัยเรายังเป็นเด็ก ด้วยเนื้อหาที่บอกเล่าแบบสองช่วงเวลาของตัวเอกอย่างทาเอโกะ สาวเมืองกรุงที่เดินทางไปใช้ช่วงเวลาพักร้อนในหมู่บ้านเกษตรกรที่ชนบท โดยระหว่างนั้นก็จะหวนนึกไปถึงเรื่องราวในความทรงจำสมัยเธออยู่ประถม 5 อยู่เรื่อยๆ
แอนิเมชั่นเรื่องนี้มีวิธีการเล่าเรื่องที่แหวกไปจากเรื่องก่อนหน้าของจิบลิอยู่มาก คือเล่าแบบไม่ลำดับไทม์ไลน์และสลับพาร์ทระหว่างอดีตกับปัจจุบันไปมาตลอดทั้งเรื่อง เราจะได้เห็นทิวทัศน์ของชนบทแสนสบายตาในไทม์ไลน์ปัจจุบัน แต่เมื่อตัดกลับไปในอดีตก็จะได้เห็นความไร้เดียงสาของเด็กหญิงทาเอโกะ เพื่อนร่วมชั้นมากหน้าหลายตา ครอบครัวที่เข้มงวด มาพร้อมรายการทีวีและเพลงฮิตในสมัยนั้นที่ฟังแล้วก็อดนึกถึงเรื่องยอดฮิตสมัยเรายังเด็กๆ ไม่ได้ (แม้หมีจะนึกถึงความทรงจำสมัยตัวเองอยู่ประถม 5 ไม่ค่อยออกก็ตามที แหะๆ)
Porco Rosso (1992)
มาถึงแอนิเมชันที่เหมาะสำหรับผู้ใหญ่ที่สุดแล้วอย่าง Porco Rosso ที่บอกว่าเหมาะกับผู้ใหญ่ที่สุดเพราะมันไม่มีฉากแฟนตาซีหรือความน่ารักสดใส แต่มันเป็นแอนิเมชันที่เต็มไปด้วยบทสนทนาแบบผู้ใหญ่ ทำให้เด็กๆ อาจดูแล้วไม่สนุก แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ล่ะก็...หึๆ
เรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับสลัดอากาศที่เข้ารุกรานน่านฟ้าเหนือทะเลเอเดรียติก และนักบินคนเดียวที่จะต่อกรกับเหล่าร้ายได้ดันกลายเป็นครึ่งคนครึ่งหมูชาวอิตาเลียน เล่ารายละเอียดคร่าวๆ แค่นี้ดีกว่าเพราะที่หมีอยากพูดถึงมากๆ คือ Porco Rosso เป็นแอนิเมชันสไตล์จิบลิจริงๆ คือมีฉากหลังเป็นสงคราม แต่ที่เจ๋งกว่านั้นคือเนื้อหามันดันใหม่ทั้งที่เป็นหนังในยุค 92 แต่เนื้อหาเหมาะสมกับแนวคิดที่กำลังเป็นที่พูดถึงในสมัยนี้มากๆ อย่างเรื่องเผด็จการและ Gender Equality
เนื้อหาของเรื่องแฝงความเป็นทหารลัทธิฟาสซิสต์ที่สุดแสนจะรุ่งเรืองในอิตาลีได้เป็นอย่างดี ทั้งยังเสียดสีเผด็จการไม่เบา ชวนให้หมีนึกถึง Animal Farm อยู่บ้างนิดหน่อยตรงที่ใส่คาแรคเตอร์หมูๆ เข้าไปในเนื้อหาเสียดสีการเมืองนี่แหละ นับเป็นการ์ตูนที่ผู้ใหญ่ควรดูเพราะเนื้อหามันว้าวซ่าไม่เบา ประโยคที่ฟังครั้งเดียวก็จำได้ขึ้นใจเลยคือ “เป็นหมูยังดีกว่าเป็นฟาสซิสต์” ...โอ้โห จุก
Ocean Waves (1993)
สำหรับ Ocean Waves นั้นแหวกแนวความเป็นจิบลิตรงไหนรู้มั้ย ก็ตรงที่เป็นแอนิเมชันแนวรักๆ แบบเต็มรูปแบบเลยไง ความจริงมันก็มีบรรยากาศใกล้เคียงกับเรื่องอื่นของค่าย อย่าง Whisper of the Heart (ฉายวันที่ 1 เมษายน) แต่เนื้อหาจะเน้นไปในโทนผู้ใหญ่และดีเทลการเล่าเรื่องจะคล้ายกับ Only Yesterday
Ocean Waves เป็นเรื่องราวของหนุ่มมหาวิทยาลัยอย่างทาคุ ที่หวนนึกถึงเรื่องราวสมัยอยู่มัธยมปลาย เขาได้รู้จักกับริคาโกะ เด็กสาวหน้าตาดีผลการเรียนเยี่ยมเพิ่งย้ายโรงเรียนมาจากโตเกียว เพื่อนในห้องล้วนแต่อิจฉา แต่อันที่จริงริคาโกะก็มีปัญหาส่วนตัวที่ต้องแบกรับ และวันหนึ่งทาคุก็ได้ม้วนวนเข้าไปอยู่ในปัญหาเหล่านั้นของเธอ จากนั้นก็ค่อยๆ ก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์และกลับกลายเป็นรอยร้าวเมื่อมีตัวละครใหม่เข้ามาอย่างเพื่อนสนิทที่ชื่อมัตสึโนะ
อย่างที่บอกไปว่าเรื่องนี้โทนอารมณ์จะเป็นผู้ใหญ่มากกว่า ทั้งบรรยากาศเรื่องหรือดนตรีประกอบ ให้ฟีลเหมือนกำลังดูหนังรักหน่วงๆ สักเรื่องที่ไม่มีฟีลสดใสแบบการ์ตูนนัก แม้ส่วนตัวหมีจะไม่ค่อยชอบแนวนี้แต่ก็ยอมรับเลยว่ากลิ่นอายแบบหนังญี่ปุ่นในสมัยเก่ามันสุดจะเท่จริงๆ
Tales from Earthsea (2006)
ปิดท้ายเซ็ทแรกของจิบลิที่ลงฉายใน Netflix ประจำเดือนกุมภาพันธ์กันด้วย Tales from Earthsea แอนิเมชันที่ใช้เค้าโครงเรื่องมาจาก The Farthest Shore หนังสือเล่มที่สามในซีรีส์ Earthsea โดย Ursula K. Le Guin และเพราะตัดตอนมา ไม่ได้ยกมาทั้งแผง มันเลยจะมีบางจุดที่ดูแล้วงงๆ เนื้อเรื่องเรียบๆ กลายเป็นว่าเป็นแอนิเมชันยี่ห้อจิบลิที่โดนบ่นอยู่บ้างเหมือนกัน
แต่สำหรับใครที่ตั้งใจอยากตามเก็บหมีก็แนะนำให้ดูนะ อันที่จริงมันก็ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิดเท่าไร ในเรื่องนี้จะพูดถึงพ่อมดคนหนึ่งที่บังเอิญได้มาเจอกับอาร์เรน เจ้าชายที่หนีเตลิดออกมาจากอาณาจักรเพราะมีด้านมืดแฝงอยู่ในตัว เขาต้องการเดินทางค้นหาแหล่งที่มาของพลังชั่วร้าย การต่อสู้กับเงาลึกลับ การพบเจอกับเทรุ เด็กสาวกำพร้าผู้ที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า และการพยายามเพื่อมีชีวิตนิรันดร์ของพ่อมดผู้ชั่วร้าย
ช่วงแรกๆ อาจน่าเบื่อไปบ้าง แต่ช่วงท้ายเรื่องตอนที่อาร์เรนต่อสู้กับพ่อมดค็อบนั้นถือว่าสนุกอยู่นะ ที่สำคัญเพลงที่เทรุร้องในเรื่องถือว่าเป็นสิ่งที่จับใจคนดูได้มากที่สุด ทั้งความหมายแฝงและความโศกเศร้าของท่วงทำนองเป็นสิ่งที่นับว่าซูฮกได้ในเรื่องนี้เลยจ้า
งานนี้เป็นโปรเจกต์ที่ไม่อยากให้พลาดเลย เพราะเค้าขนผลงานของสตูดิโอจิบลิตลอดระยะเวลา 35 ปีมาลงให้ดูกันแบบถูกลิขสิทธิ์แล้ว (ขาดแค่ "Grave of the Fireflies สุสานหิ่งห้อย" อีกหนึ่งผลงานคลาสสิกขึ้นหิ้งแค่เรื่องเดียว แอบเสียดายเหมือนกันเพราะเป็นเรื่องที่ดีมากแต่ก็ไม่คิดอยากดูต่อเพราะเศร้า หัวใจหมีอ่อนแอ 5555)
ใครไม่คุ้นกับผลงานของสตูดิโอจิบลิก็สามารถเริ่มต้นดูได้ยาวๆ ส่วนใครดูแล้วก็มาดูใหม่ได้เพราะภาพชัดแจ๋วแบบชัดตาแตกฟินกันไปหลายวัน นอกจากนี้ยังมาพร้อมซับไตเติ้ลมากถึง 28 ภาษา พากย์เสียงอีก 20 ภาษา สำหรับฝั่งบ้านเราจะเลือกดูแบบซับไทยเสียงญี่ปุ่นหรืออยากดูแบบพากย์ภาษาไทยเค้าก็มีให้ครบทุกเรื่องจ้า
เอาเป็นว่าเซ็ทแรกเดือนกุมภาฯ หมีก็ทิ้งไว้แค่นี้ก่อนแล้วกัน เจอกันครั้งต่อไปกับเซ็ทเดือนมีนาคมและเมษายนนะครับผมมมม