"เมื่อคุณมองข้ามกำแพงสูง 1 นิ้วที่ชื่อว่า 'ซับไตเติล' คุณจะได้ค้นพบกับหนังดีๆ อีกมากมาย"
ยังคงเป็น speech ที่สุดจะอิมแพ็คของ บงจุนโฮ ผู้กำกับมือทองจากเรื่อง Parasite ที่พูดไว้ให้โลก (ภาพยนตร์ต่างประเทศ) ได้จารึก เมื่อครั้งที่ขึ้นรับรางวัลในงาน Golden Globes
จนกระทั่งมาถึงเวทีใหญ่ที่สุดของวงการภาพยนตร์อย่าง Oscar ภาพยนตร์เรื่อง Parasite ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับเวทีนี้ เพราะเป็นภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่องแรกที่ชนะรางวัลใหญ่สุดอย่างรางวัลสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Picture) ปาดหน้า 1917 ไปได้แบบสุดตื่นเต้น
ก่อนหน้านี้บงจุนโฮทำหนังฟอร์มใหญ่แนวฮอลลีวู้ดมา 2 เรื่อง คือ
Snowpiercer และ
Okja ที่ใช้ภาษาอังกฤษและมีนักแสดงต่างประเทศชื่อดังมาร่วมแสดง (อ่าน
ชวนดูหนังคุณภาพของ "บงจุนโฮ" ผู้กำกับรางวัลดังที่ไม่ได้มีดีแค่ "ชนชั้นปรสิต" ได้
ที่นี่) แต่สุดท้ายแล้วแกคงรู้สึกได้แหละว่ามัน “ไม่ใช่” ผู้ชายคนนี้เลยหันกลับไปทำหนังฟอร์มเล็กสไตล์เกาหลีแบบที่แกถนัดและทำมาตลอดนับตั้งแต่นั่งแท่นผู้กำกับ สุดท้ายก็บู้มมม เกิดเป็น Parasite
ต้องบอกก่อนว่า ก่อนหน้านี้บนเวทีออสการ์นั้นเคยมีภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศหลายเรื่องที่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Best Picture แต่ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด ภาพยนตร์หลายเรื่องเหล่านั้น 'ยังไม่เคย' มีเรื่องไหนได้รับรางวัลนี้เลย
จนกระทั่งการมาถึงของภาพยนตร์เกาหลีมาแรงอย่าง Parasite นี่แหละ
นอกจากจะคว้ารางวัลใหญ่ที่สุดของงานมานอนกอดได้แล้ว Parasite ยังเป็นภาพยนตร์เรื่องเดียวที่ได้รับรางวัลกลับบ้านไปมากที่สุดคือ 4 รางวัล โดยนอกจากรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแล้วก็ยังมีรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม อีกต่างหาก
รางวัลสุดท้ายนั้นใครก็มองว่านอนมาอยู่แล้ว แต่รางวัลอื่นๆ นี่เรียกได้ว่าปาดหน้าตัวเต็งไปไม่น้อย แถมทุกรางวัลที่ได้รับก็ดันเป็นรางวัลใหญ่ๆ ทั้งนั้น
ตอนแรกที่ประกาศว่า Parasite คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมไปได้เนี่ย หมีเข้าใจว่าคงจบแค่นี้ละ อาจให้รางวัลใหญ่ๆ มาเพื่อปลอบใจ แต่ที่ไหนได้ดันเป็นการแจกรางวัลเพื่อลีดไปสู่รางวัลใหญ่สุดอย่างรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมซะงั้น
นี่แสดงให้เห็นว่าที่คนอินปรสิตเพราะรู้ดีว่าทุกที่บนโลกล้วนมีชนชั้นปรสิตแฝงอยู่หรือเปล่า?
พูดซะเท่ แต่คนที่เท่กว่าคือทีมงานทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังของเค้านี่แหละ
หลังจากประกาศรางวัลเสร็จเรียบร้อยดราม่าก็ลอยมาพอหอมปากหอมคอ ชัดเจนหน่อยคือเรื่องราวบนเวทีช่วงที่ทีมงาน Parasite ขึ้นไปรับรางวัล
เรื่องมันมีอยู่ว่าทีมงานพูดขอบคุณไปเพียงแค่คนเดียว ทางออสการ์ดันเริ่มปิดไฟ "บางส่วน" บนเวทีเป็นสัญญาณว่า โอเค เสร็จสิ้นแล้วนะจ๊ะ ลงไปได้แล้วจ้ะ
ซึ่งสำหรับรางวัลใหญ่ขนาดนี้คนเค้าก็มองกันว่าออสการ์ทำน่าเกลียดไปหรือเปล่า บรรดานักแสดงและผู้กำกับรวมถึงทีมงานที่นั่งกันอยู่ด้านล่างเวทีเลยช่วยกัน encore ส่งสัญญาณทำนองว่า "พูดต่อเลยพวก พูดต่อไม่ต้องสน!" ทีมงาน Parasite เลยได้จับไมค์พูดต่อ ส่วนทีมงานออสการ์ก็ต้องเปิดไฟให้อีกหน
หรือจะเป็นการสัมภาษณ์หลังไมค์ของพิธีกรชาวเม็กซิกันที่ตอนนี้กำลังโดนคนจวกเละอยู่เพราะพี่แกไปสัมภาษณ์บงจุนโฮ แล้วก็ถามว่า "คุณพูดอังกฤษได้มั้ย ถ้าไงเรามาพูดเกาหลีกันก็ได้นะ"
พูดแซะแบบมีนัยยะความ "เหยียด" ไม่พอ ยังทำทีเชิงล้อเลียนการพูดเกาหลีตามไปอีก ซึ่งชาวเน็ตหลายคนก็ออกมาประณามกันเลยว่านี่เป็นการกระทำที่เหยียดเชื้อชาติสุดๆ!
แต่คุณกำลังพูดอยู่กับใคร
คุณกำลังพูดกับบงจุนโฮ ผู้ชายที่สุดจะแซ่บและโนสนโนแคร์ใดๆ อยู่นะครับท่าน
เอเนอจี้แรกที่จุกกันไปก่อนแล้วคือการแซะเรื่องซับไตเติล เพราะคนผิวขาว (ส่วนมาก) ไม่ค่อยชอบการดูหนังภาษาต่างประเทศเพราะพวกเขา "ขี้เกียจ" อ่านซับ
จะเห็นได้ว่าก่อนหน้านี้หนังเอเชียนเรื่องไหนที่ดีมักจะถูกซื้อไปรีเมคเป็นเวอร์ชั่นของคนผิวขาวเสียหมด ถ้าพูดถึงหนังเกาหลีที่ถูกซื้อไปรีเมคแล้วแป๊กนั้น ดังๆ หน่อยก็ Old Boy ที่หมีได้แต่หัวเราะแหะๆ เมื่อได้ดู ส่วนหนังไทยเราก็โดนนะ ทั้ง ชัตเตอร์, 13 เกมสยอง, บางกอกแดนเจอรัส ฯลฯ เรียกว่า...ไม่รอด
แต่บงจุนโฮดันออกมาตอกหน้าด้วยประโยคที่แปลเป็นภาษาที่เราๆ เข้าใจก็คือ "หัดอ่านซับเอาบ้างสิ (โว้ย)" มันเลยเป็นเอเนอจี้ที่เอเชียนพีเพิลอย่างเราภูมิใจไม่น้อย
และทุกครั้งที่พูดสปีชบนทุกๆ เวที (รวมถึงบนเวทีออสการ์) พี่บงจุนโฮแกพูดเกาหลีล้วนเลยนะจ๊ะ โดดข้ามทุกกำแพงภาษา โดดข้ามมาจนมีวันนี้ ตอนขึ้นรับรางวัลก็คือฟังอังกฤษได้ พูดอังกฤษก็ได้ แต่ไม่พูด ใครจะทำไม 55555
การกระทำแบบนี้มันคือการทุบคนอเมริกันที่ Xenophobic สุดๆ มันคือแมสเสจที่เค้าตั้งใจจะสื่อสารกับเราว่า เฮ้ย ดูสิ พลังของภาษามันยิ่งใหญ่มากนะ แล้วมันก็จริงตามนั้น
การมาร่วมเวทีประกาศรางวัลแถมมีชื่อเข้าชิงหลายรายการมันก็แปลว่าเค้าต้องเตรียม speech ไว้อยู่แล้ว จะเตรียมไว้เป็นภาษาอังกฤษก็ยังได้ แต่ประเด็นคือเค้าเลือกที่จะไม่พูดเป็นภาษาอังกฤษบนเวที แต่พูดภาษาบ้านเกิดแทนแล้วปล่อยให้ล่ามแปลไป เจตนาแสดงให้เห็นว่าภาษาบนโลกนี้ไม่ได้มีแค่ภาษาอังกฤษ โอเค้?
เพื่อนหมีบอกว่าผลงานของเค้ามันมาไกลและสร้างชื่อมากเกินกว่าจะต้องมานั่งแคร์แล้วว่าใครจะเหยียดเค้า...ซึ่งหมีก็ เออ จริงว่ะ!
มาพูดถึงโมเม้นต์ชวนประทับใจเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างคนทำหนังด้วยกันบ้างดีกว่า
ช่วง speech ของบงจุนโฮยังได้พูดถึงผู้กำกับชื่อดังอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น มาร์ติน สกอร์เซซี, เควนติน ทาแรนติโน, ทอดด์ ฟิลลิปส์ และ แซม เมนเดส
เฮียแกบอกว่า ช่วงยังอายุน้อยและเรียนรู้งานเกี่ยวกับภาพยนตร์นั้นมีประโยคหนึ่งที่เขาจำขึ้นใจนั่นก็คือ ‘สิ่งที่เป็นตัวเองมากที่สุด คือที่สุดของความคิดสร้างสรรค์’ ซึ่งเป็นคำพูดของ มาร์ติน สกอร์เซซี
เขาบอกว่าเขาได้เรียนรู้ในโรงเรียนจากผลงานภาพยนตร์ของมาร์ติน ดังนั้นการได้เข้าชิงรางวัลเดียวกันก็ถือว่าเป็นเกียรติมากพอแล้วสำหรับตัวเขา ซึ่งเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นผู้ชนะในรางวัลนี้ด้วยซ้ำ
นอกจากนี้บงจุนโฮยังพูดถึงเควนตินว่า ในขณะที่หลายๆ คนในอเมริกาไม่คุ้นเคยกับภาพยนตร์ของเขา แต่เควนตินมักจะเลือกภาพยนตร์ของเขาอยู่ในลิสต์เสมอ รวมถึงคำขอบคุณที่อยากมอบให้ ทอดด์ และ แซม ผู้กำกับยอดเยี่ยมที่เขาชื่นชม ซึ่งถ้าทางผู้จัดงานอนุญาตเขาก็อยากจะเอาเลื่อยมาหั่นแบ่งรางวัลนี้ออกเป็น 5 ส่วนเพื่อแบ่งให้กับทุกคน
...โอ้โห เท่ไปดิ
ออสการ์ปีนี้จึงเป็นอีกหนึ่งปีที่ "สุดมาก" พูดได้ว่าการได้รางวัลของ Parasite บนเวทีออสการ์ แถมเป็นรางวัลใหญ่ที่สุดคาดแบบนี้ มันคือการหัวเราะใส่ White supremacist แบบที่ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนเอเชียนถึงเชียร์และตื่นเต้นกับการได้รับรางวัลของ Parasite กันมาก
ที่สำคัญคือการได้รับชัยชนะในครั้งนี้ของหนังต่างประเทศทำให้หลายคนตระหนักได้ว่า กระแสหนังต่างประเทศบนเวทีใหญ่ระดับโลกนั้นไม่ควรจบลงที่ Parasite แต่ควรผลักดันให้หลายคนก้าวข้าม "อุปสรรคหนึ่งนิ้วของซับไตเติล" เพื่อค้นพบความดีงามและความแปลกใหม่ของหนังภาษาต่างประเทศเรื่องอื่นๆ ได้มากกว่าเดิมต่างหาก