ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าสถานการณ์โรคระบาดของไวรัส COVID 19 ในตอนนี้ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน
ทำให้ตัวผมเองที่เรียนโรงเรียนคริสต์มาตั้งแต่เด็กแอบนึกไปถึงหนึ่งบทเรียนที่ได้ฟังมาตลอดอย่าง "ตำนานวันสิ้นโลก"
เพื่อน ๆ อาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย และผมเชื่อว่าก็ต้องมีบางกลุ่มที่ยังเชื่ออยู่ด้วย 555
ทั้งนี้ก็เพราะมนุษยชาติมักจะมีความเชื่อในเรื่องของวันสิ้นโลกมาโดยตลอดไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ตาม
เช่นปี 2012 ที่ผู้คนพากันแตกตื่นตกใจว่ามันจะสิ้นโลกตามคำทำนายของปฏิทินมายัน!!!
แต่เหตุการณ์ที่ว่าก็ผ่านไปอย่างเงียบกริบ จนมีมุขตลกของพวกชาวต่างชาติเอามาแซวว่า...
แต่ถ้าไม่ได้พูดถึงเรื่องโลกแตกล่ะ โลกของเราก็ยังถึงวันสิ้นสุดได้เหมือนกันเว้ยย!
เพราะยังมีอีกตำนานหนึ่ง ที่ได้รับการกล่าวขานมาโดยตลอดในพระคัมภีร์ศาสนาคริสต์
อย่างการคงอยู่ของเหล่า "คนม้าทั้งสี่" หรือ "4 Horsemen of the Apocalyps"
ฟังดูคุ้นหูกันใช่มั้ย... เพราะชื่อนี้ไม่ได้มีแค่ในคัมภีร์นะ แต่ในหนังหลาย ๆ เรื่องก็มีการเอามาชื่อนี้มาใช้
อย่างกลุ่มสี่คนม้านักมายากลแห่ง Now You See Me ที่ใช้ชื่อกลุ่มว่า Four horsemen
และใน X-Men ภาค Apocalypse ก็มีการเอารูปลักษณ์ของ 4 จตุรอาชามาปรับใช้เช่นกัน
ส่วนตัวแล้วผมว่ามันก็เหมาะสมกับสถานการณ์ของโลกเราในปัจจุบัน แถมยังมีสิทธิเป็นไปได้ในอนาคตด้วย!!!
ในตำนานได้ระบุเอาไว้ว่า พระเจ้าจะทรงเปิดผนึกออกมาทีละดวง เพื่อนำเอา 4 จตุอาชาออกมาใช้ในยามที่โลกถึงวันพิพากษา (Judgement Day)
โดย 4 จตุอาชานี้แหละครับที่จะนำมนุษย์ไปสู่วันสิ้นโลกอย่างแท้จริง เรามาทำความรู้จักกับพวกเขากันดีกว่าว่า 4 อาชา คนม้าทั้งสี่มีใครกันบ้าง
1. โรคระบาด (White Horse Strife)
จตุรอาชาตนแรกคือ โรคระบาด ที่ในพระคัมภีร์ได้ระบุมาว่าจะปรากฎในรูปลักษณ์อัศวินขี่ม้าขาว ที่สวมมงกุฎและถือคันศรไว้ในมือ
เป็นตัวแทนของโรคระบาดที่ทำให้เหล่ามวลมนุุษย์ต้องทนทุกข์กับการแพร่กระจายของโรคร้ายที่คร่าชีวิตของเพื่อน คนรักหรือครอบครัวไป
โดยการแพร่การจ่ายของโรคระบาดที่ว่าเนี่ยแหละ ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าการมาของโควิดนี่เป็นสัญญาณว่าโลกของเรากำลังคัดสรรมนุษย์ใหม่
เหมือนคำพูดที่ว่า อ่อนแอ... ก็แพ้ไป 5555
เพราะเราต้องยอมรับความจริงที่ว่าปัจจุบันโลกเราก็มีทรัพยากรมนุษย์มากเกินจำเป็นจริง ๆ
อัตราการจ้างงานก็น้อยลงทุกวันจากผลของการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ วัน
แต่ประเด็นคือการคัดสรรของธรรมชาติมันไม่ได้จบแค่โรคระบาดสิ เพราะนี่มันเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น...
2. สงคราม (Red Horse War)
จตุรอาชาตนที่สอง มาในรูปลักษณ์อัศวินขี่ม้าสีแดงและกวัดแกว่งดาบที่มีประกายไฟขนาดใหญ่ออกมาซึ่งจตุรอาชาตนนี้เป็นตัวแทนของสงคราม
สิ่งทำให้มนุษย์เข่นฆ่ากัน จากทั้งการแย่งชิงดินแดน แย่งชิงสิ่งของที่มีค่า หรือเพียงเพราะไม่ต้องการให้มีสิ่งนั้นอยู่
ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วยุคปัจจุบันนี้คำว่าสงครามอาจจะไม่ได้เป็นการฆ่าฟัน รบกันไปมาก็ได้นะ เพราะมีอีกหลายอย่างที่ทำให้เกิดความแตกแยก
ยกตัวอย่างง่าย ๆ จากบ้านเราก็เรื่องการเมือง ที่ทำให้คนเคยรักกันดี ๆ กลายเป็นศัตรูกันก็มีมาแล้ว 555
หรือถ้าระดับโลกก็อาจจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ ที่เรารู้กันดีว่าต่างมีขั่วอำนาจที่พยายามแย่งชิงตลาดและความเป็นเจ้าโลกกันอยู่
รวมไปถึงสงครามในรูปแบบของการรบแบบใช้กำลัง แม้ในยุคนี้ก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม
ไม่ว่าจะเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง หรือการเตรียมขีปนาวุธมากมายของท่านผู้นำก็ด้วย
3. ความอดอยาก (Black Horse Famine)
จตุรอาชาตนที่สาม มาในรูปลักษณ์อัศวินบนม้าสีดำ ในมือถือตราชั่ง เป็นสัญลักษณ์ของความอดอยากทั้งมวล
ซึ่งเป็นผลพวงจากการทำสงคราม ที่ทำให้ทรัพยากรจำนวนมากต้องหมดไปจากการเข่นฆ่ากันเอง
โดยความอดอยากนั้นก็สามารถคร่าชีวิตของมนุษย์ที่ยังเหลือดรอดจากจตุรอาชาตัวก่อนได้เป็นจำนวนมาก
แต่ในความเป็นจริงนั้นความอดอยากไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะสงครามเท่านั้น
ภาวะเศรฐกิจและภัยพิบัติทางธรรมชาติก็สามารถทำให้เกิดความอดอยากได้เช่นเดียวกัน
4. ความตาย (Pale Horse Death)
จตุรอาชาตนสุดท้าย มีรูปลักษณ์เป็นอัศวินโครงกระดูกขี่บนม้าสีเขียวหม่น จตุรอาชาตนนี้มีนามว่าความตาย เป็นจตุรอาชาที่มีอำนาจมากที่สุด
เพราะจตุรอาชาตนนี้มีพลังของจตุรชาทั้งสามตนนั้นที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ และเป็นจตุรอาชาที่จะปรากฎขึ้นมาหลังพี่น้องทั้ง 3 คนมาโลดแล่นในโลกใบนี้แล้ว
จตุรอาชาตนนี้ก็จะมามอบความตายให้กับมนุษย์โลกที่ยังเหลืออยู่จากการอาละวาดของจตุรอาชาตนก่อนจนหมดสิ้น!!!
ซึ่งนั้นก็เท่ากับว่าเป็นการสิ้นสุดของมนุษย์ชาตินั่นเอง ฟังแล้วก็แอบหดหู่อยู่เหมือนกันเนอะ 555
กลับมาที่โลกของความเป็นจริง...
ผมว่าสุดท้ายแล้วมันไม่มีทางไปถึงขั้นที่ตำนานว่าหรอก ยังไงเจ้าโรคระบาดนี่ก็คงสิ้นสุดในซักวันเหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มา
แต่ถ้าเราลองมองอีกมุมนึง เราอาจจะกำลังเผชิญหน้ากับเหล่า 4 จตุรอาชาอยู่จริง ๆ ก็ได้นะ
เพราะปัจจุบันนี้โลกของเราเต็มไปด้วยความวุ่นวายมากจริง ๆ ไม่ว่าจะการแก่งแย่งชิงดีกันระหว่างประเทศจนเกิดเป็นสงคราม
ความอดอยากที่เกิดขึ้นในบริเวณประเทศโลกที่ 3 หรือแม้กระทั่งความตายในปัจจุบันที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งในสังคม
แน่นอนว่าทุกอย่างมันมันยังคงอยู่ และอาจจะหายไปหรือทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีกก็ได้
ไม่ว่าโลกของเราจะสิ้นสุดด้วยเหตุผลอะไร แต่ยังไงถ้าโลกยังไม่แตกมนุษยชาติของเราก็ต้องมีวิวัฒนาการในการปรับตัวให้อยู่รอดได้อยู่ดี
เหมือนทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolutionary Theory) ของ 'ชาร์ลส์ ดาร์วิน' สมัยเราเรียนชีวะที่ว่า...
มันคือกระบวนการเลือกสรรโดยธรรมชาติ
สิ่งมีชีวิตที่อยู่รอดหรืออยู่ยงคงกระพันนั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงที่สุด แต่เป็นสิ่งที่มีชีวิตที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมมากที่สุด
ทีนี้เราก็ต้องกลับมามองย้อนดูที่ตัวเองกันแล้วแหละ ว่าเราจะวิวัฒนาการตัวเองให้อยู่รอดในสังคมโลกนี้ได้ยังไง
ในวันที่สิ่งแวดล้อมไม่ได้กดดันเราแค่ด้านทรัพยากรเพียงอย่างเดียว แต่ยังไปถึงการอยู่ร่วมในสังคมด้วย
เพราะแก่นจริง ๆ ของตำนานนี้ไม่ได้ต้องการให้คนเชื่อถึงคนขี่ม้าที่มาเดินเล่นบนโลก แต่เป็นการสร้าง "ความกลัว"
ให้มนุษย์เกิดความตระหนักถึงสิ่งจำเป็นที่ควรมีให้แก่กัน และพยายามเป็นหนึ่งเดียวในการป้องกันภัยต่าง ๆ
และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขนั่นเอง