ในขณะที่ สถานการณ์โควิด 19 ยังไม่มีท่าทีจะสงบนิ่งง่าย ๆ แถมในประเทศไทยเอง ก็มีทีท่าจะระบาดมากขึ้นทุกวัน ๆ
ที่สำคัญเจ้าไวรัสตัวนี้ก็สามารถบินไปบินมาข้ามทวีปแบบไม่ต้องขอวีซ่า เพราะขณะนี้ได้แพร่ระบาดไปทั่วทั้งโลกอย่างสมบูรณ์แล้ว
ซึ่งสถานการณ์ในไทยแม้ยอดผู้ติดเชื้อจะไม่ได้มีเพิ่มมากขึ้นเหมือนประเทศอื่น ๆ แต่ก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่ดี
ประกอบกับข่าวคราวในโลกออนไลน์ที่ดูจะสมเหตุสมผลพอสมควรว่า "คงไม่ได้มีผู้ติดเชื้อแค่นี้แน่"
หนำซ้ำประเด็นล่าสุดที่ทำเอาผมแทบจะหงายหลังกับข่าว "ผีน้อยกลับบ้าน" ก็เข้าเพิ่มความแพนิกให้กับคนไทยมากเข้าไปอี๊กกก (เพราะพี่แกดันไม่กักตัวอยู่บ้านซะงั้น)
หรือจะสด ๆ ร้อน ๆ กับประเด็น "หน้ากากอนามัยไม่พอบอกพอ" ที่โรงพยาบาลหลายแห่งต้องออกมาขอรับบริจาคหน้ากากอนามัยจากประชาชน แต่เค้าบอกว่าพอนะ... (เค้าไหนก็ไม่รู๊ เสียงสู๊งง)
เอาล่ะ เกริ่นมาขนาดแน่นอนว่าวันนี้ผมมาพูดเรื่องไวรัสโคโรน่า หรือ โรคโควิด 19 กันแน่นอนไม่ผิดเพี้ยน แต่จะไม่ได้มีแค่โควิด 19 เท่านั้นฮะ เพราะเราจะพาทุกคนไปรู้จัก 3 บทเรียน โรคระบาดในไทย ก่อนที่เราจะรู้จักโคโรน่าเนี้ย เราเคยผ่านอะไรมันมาบ้างน้าา?
ประเด็นนี้น่าสนใจฮะ เพราะตั้งแต่เกิดมาเนี้ยผมเองก็ผ่านมาช่วงเวลาของการระบาดมาไม่น้อยเหมือนกันนะ เท่าที่ผมเห็นภาพชัดเจนสุด ๆ (แบบเกิดทันนะ) ในเมืองไทยก็พอจะนึกออกอยู่ 3 โรคหลัก ๆ คือ ซาร์ส ไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009 (ย้ำว่าที่ผมทันนะฮะ) ซึ่งโรคระบาดพวกนี้นับแค่ในประเทศไทยแล้ว ถือว่าเป็นโรคที่คนไทยมีการตื่นตัวกันไม่น้อยเลยทีเดียว กระแสกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ที่ท่องกันติดปาก ในช่วงหลัง ๆ ก็มาจากการรณรงค์ในยุคเหล่านี้แหละ!!
แต่ถ้าพูดถึงความน่ากลัวนั้น ขึ้นชื่อว่าโรคระบาด ขอย้ำว่าน่ากลัวทุกโรค ซึ่ง 3 โรคที่ผมกล่าวมาข้างต้นนั้นหากจะนับเรื่องของอัตราการเสียชีวิต ล่าสุดทุกโรคก็โดนโควิด 19 แซงหน้าไปเรียบร้อยแล้วจ้า ไอแอมเดอะวินเนอร์!!
แต่ก่อนที่คนทั่วทั้งโลกจะรู้จักกับเจ้าเชื้อไวรัสอู่ฮั่น หรือ โคโรน่าไวรัส หรือว่าโรค โควิด 19 เนี้ย เมื่อครั้งอดีตพระเจ้าเคยส่งบททดสอบที่ชื่อว่า "โรคระบาด" ให้แก่มวลมนุษยชาติมาหลายบทเรียนแล้วนะฮะ นักเรียนทุกคน
ประเทศไทยหัวดำ ๆ ลูกตาสีตาสาอย่างเราเอง ก็โดนมาเยอะไม่ใช่น้อย คนล้มตายเป็นเบือยิ่งกว่าเจ้าโควิด 19 มาแล้วก็มีจ้าขอบอก
เอาล่ะใส่หน้ากากอนามัย ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือให้เรียบร้อย แล้วย้อนรอยไปพร้อม ๆ กันเลยยย
อหิวาตกโรค
เริ่มกันที่โรคแรกอย่างอหิวาตกโรค ที่หลาย ๆ คนเรียกว่า "โรคห่า" หรือโรคอุจจาระร่วงอย่างรุนแรง นั่นแหละ สาเหตุของโรคนี้เกิดจากการรับทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนแบคทีเรียที่มีชื่อว่า "วิบริโอ โคเลอรี" จะติดต่อกันทางอ้อมผ่านทางแมลงวันที่ตอมตามอาหารของเรานั่นเอง!!
บอกเลยว่าไอเจ้าโรคนี้เนี้ย มันมีมาตั้งแต่โบราณกาลเลยครับ และที่สำคัญ มันระบาด "หลายรอบ" อย่างในประเทศไทยเริ่มต้นระบาดครั้งแรก(จามที่มีการบันทึก)ในช่วงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์โน้นเลยนะ นานมาก ๆ โดยมีการบันทึกการระบาดของอหิวาตกโรคไว้แต่ละครั้งด้วย
ครั้งแรกที่ประเทศไทยได้รู้จักกับ“อหิวาตกโรค”คือในช่วงสมัยรัชกาลที่ 2 ซึ่งช่วงที่บาดตรงกับปี พ.ศ. 2363(ลองบวกลบแล้ว นานมากว่า 200ปีเลยทีเดียว) การระบาดครั้งนี้เค้าบอกว่า เริ่มต้นจากการระบาดที่อินเดียก่อนจะเข้ามายังประเทศไทย เข้ามาถึงสมุทรปราการและพระนคร โดยระบาดไปแค่ 2สัปดาห์ คนเนี้ยตายกันเป็นเบือจนเผาไม่ทันเลย ศพก็เลยกอง ๆ เอาไว้ในวัดสระเกษ และวัดอื่น ๆ ว่ากันว่าพระเณรต้องทิ้งวัดกันเลยทีเดียว
แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์
เป็นวลีสยอง ๆ ที่พวกเราหลาย ๆ คนได้ยินกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ สาเหตุของคำ ๆ นี้ก็มาจากเหตุการณ์ “ห่าระบาด”ตอนช่วงรัชกาลที่ 2นี่แหละ เพราะว่ากันว่าพอมีคนล้มตายจากโรคนี้เยอะจึงทำศพเผาไม่ทัน แร้งก็เลยพากันมารุมทึ้งกินศพที่กลาดเกลื่อนอยู่ตามวัดวา และ ถนนหนทาง (บ้างก็ว่ามีการทิ้งศพลงแม่น้ำลำคลองด้วยนะ โรคกก็เลยระบาดทางน้ำต่อไปอี๊กกก) การระบาดของอหิวาฯในสมัยรัชกาลที่ 2 มีคนล้มตายเฉพาะในกรุงเทพและหัวเมืองใกล้เคียงมากถึง 30,000 คนเลย (ไม่แปลกใจที่ศพจะล้นวัด จนเผาไม่ทัน)
มหากาพย์ของอหิวาตกโรคยังไม่หมดแค่นี้ อย่างที่บอกว่ามีการระบาดอยู่หลายครั้ง มันรีเทิร์นกลับมาซ้ำแล้วซ้ำอีก ในสมัยรัชกาลที่3ในปี พ.ศ. 2392 ซึ่งการระบาดรอบนี้เค้าเรียกกันว่า “ห่าลงปีระกา”เริ่มระบาดในประเทศไทยจากภาคใต้ทางเรือก่อนขึ้นมายังสมุทรปราการและกรุงเทพ ก่อนจะลุกลามไป ปทุมธานี พิษณุโลก และอ่างศิลา ชลบุรี การระบาดครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตในประเทศไทยมากถึง 40,000คนเลยทีเดียว!!
หลังจากห่าลงปีระกาในสมัยรัชกาลที่ 3แล้ว อหิวาฯยังระบาดอยู่เรื่อย ๆ และด้วยความที่สมัยก่อนเรายังไม่มียารักษาหรือวัคซีนป้องกันใด ๆ สำหรับโรคนี้ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 4และ 5 ก็ยังระบาดใหญ่ มีผู้คนล้มตายเยอะมากเช่นเดียวกัน และยังมีระบาดใหญ่ต่อมาถึง5ครั้ง แต่ละครั้งมีผู้คนล้มตายนับพัน นับหมื่น เรียกได้ว่า มาแต่ละทีบ้านเมืองนี่ร้างกันเลยทีเดียว ถ้าสมัยนี้การกักกันผู้ติดเชื้อคือโรงพยาบาล สมัยก่อนก็คงเป็นการย้ายเมืองหนีและทิ้งผู้ติดเชื้อให้อยู่ในเมืองนั้นตามลำพังครับ!! (รู้สึกโชคดีจังที่เราเกิดมาในยุคที่มีวัคซีนแล้ว)
วัคซีนพระราชทานที่พระตำหนักจิตรลดาฯ
ในปี 2501 ถึงปี 2502 อหิวากลับมาระบาดอีกหนมีผู้ป่วยทั่วประเทศ19,359 ราย เสียชีวิต 2,372 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยในจังหวัดพระนครและธนบุรีเสีย 11,401 ราย เสียชีวิต 869 ราย ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงจัดตั้งหน่วยฉีดวัคซีนพระราชทานสำหรับป้องกันอหิวาตกโรค ให้กับประชาชนบริเวณพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และตามพื้นที่ต่างๆ เช่นที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตลอดจนจังหวัดอื่นในภูมิภาคต่างๆ ที่เสด็จพระราชดำเนินก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดหน่วยฉีดวัคซีนตามเสด็จไปให้บริการแก่ประชาชนด้วย
แม้ว่าประเทศไทยในปัจจุบันอหิวาตกโรคจะสงบลงแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสที่จะระบาดอีกนะ ดังนั้นบทเรียนจากอหิวาฯที่ทิ้งให้เราต้องระวัง คงหนีไม่พ้นเรื่องของอาหารการกิน แม้อาหารดิบมันจะแซ่บ ปลาร้ามันจะนัวแค่ไหน (น้ำลายไหลเลย) แต่การทานอาหารที่ปรุงสุก ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ง่ายที่สุดสำหับการป้องกันอหิวาฯ ที่เราพอจะทำได้
โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ
เป็นอีกโรคที่หลาย ๆ คนคงรู้จักกันเป็นอย่างดีครับ เพราะโรคระบาดอย่าง“ฝีดาษ”เป็นสาเหตุที่ทำให้กษัตริย์ของไทยเราสวรรคตไปถึง2พระองค์ด้วยกัน นั่นคือ พระมหากษัตริย์ ลำดับที่ 11 ของกรุงศรีอยุธยา และ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช… งั้นก็พอจะรู้กันแล้วใช่มั้ยล่ะว่า โรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษเนี้ย มีมาน๊านนานตั้งแต่โบราณแล้วเช่นกัน
มาทำความรู้จักฝีดาษกันแบบเผิน ๆ หน่อย ทำไมโรคนี้ถึงกลายเป็นหนึ่งในโรคระบาดร้ายแรงที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ไทย โรคนี้ถือเป็นโรคติดต่อร้ายแรงมากครับ เพราะผู้ติดเชื้อจะมีอาการผื่นขึ้นตามตัว ตามมาด้วยอาการไข้สูง ปวดหัว และ สามารถเกิดอาการชักได้เลยทีเดียว นอกจากนี้ผู้ติดเชื้อยังสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ด้วย โดยมีอัตราการตายสูงถึง 30%โดยเกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า “วาริโอลา เมเจอร์” (ไข้ทรพิษชนิดอ่อน มีความรุนแรงน้อย) “วาริโอลา ไมเนอร์” (ไข้ทรพิษชนิดรุนแรง)
ระบาดทั่วโลกผู้ติดเชื้อนับล้าน
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า ในปี 1967 มีผู้เสียชีวิตจากฝีดาษถึง15 ล้านคน หนักสุด ๆ ในไทยเห็นทีจะเป็นช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2ครับ
สงครามโลกครั้งที่ 2 ในประเทศไทย เป็นช่วงที่ทหารญี่ปุ่นขับเชลยศึกไปสร้างทางรถไฟสะพานข้ามแม่น้ำแควเพื่อเข้าสู่รัฐเชียงตุงของพม่า หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อของทางรถไฟสายมรณะนั่นแหละ นอกจากญี่ปุ่นจะทิ้งทางรถไฟสายมรณะไว้ให้แล้ว ยังทิ้งโรคฝีดาษไว้ด้วยนี่แหละครับ!! เหล่าเชลยศึกหลังจากแยกย้ายกลับถิ่นฐานไปยังพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศไทย ก็พาสมบัติติดตัวอย่างโรคฝีดาษไปฝากคนอื่น ๆ กันอย่างถ้วนหน้าเลยทีเดียว ครั้งนั้นมีผู้ป่วยมากถึง 63,837 คน เสียชีวิต 15,621คน
แต่ปัจจุบันนี้หายห่วงได้ครับ เพราะองค์กรอนามัยโลกได้ออกมาประกาศว่าโรคฝีดาษได้ถูกกวาดล้างไปจากโลกหมดสิ้นแล้วในปี พ.ศ.2523
กาฬโรค หรือ มรณะดำ ทานอสแห่งวงการโรคระบาด
เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือโรคระบาดยังมีโรคระบาดยิ่งกว่า!! ถ้าคิดว่าสองตัวข้างบนสยองแล้ว อันนี้สยองยิ่งกว่าครับ ในจักรวาลมาร์เวลมีทานอสที่ดีดนิ้วป๊อกเดียวคนหายไปครึ่งโลก แต่ในครั้งหนึ่งกาฬโรคเคยทำให้โลกนี้กลายเป็นเหมือนตอนที่ทานอสดีดนิ้วมาแล้ว
คริสตวรรษที่ 6 ว่ากันว่าตอนช่วงที่ระบาดนั้น ประชากรยุโรปลดลงไปกว่า50%ในคริสตวรรษที่ 14 -19กรุงลอนดอนมีคนตายถึง 70% จากจำนวนประชากร 450,000 คน เหลือเพียง 60,000 คน ต่อมาได้เกิดการระบาดในประเทศจีนในช่วงศตวรรษที่ 19-20 ในสมัยนั้นหมอกาฬโรคถึงกับต้องสวมชุดหน้ากากอีกาดำเพื่อป้องกันตัวเองสำหรับการรักษาผู้ติดเชื้ออีกด้วย (แอบหลอนนิด ๆ แฮะ)
มาทำความรู้จักกาฬโรคกันพอสังเขปซักหน่อยดีกว่าเนอะ กาฬโรคป็นโรคระบาดติดต่อจากสัตว์สู่คนจากแบคทีเรียเยอร์ซีเนีย เพสติส มักจะอาศัยอยู่ในสัตว์ฟันแทะที่มีขนาดเล็ก เช่น หนูและกระรอกส่วนใหญ่คนจะได้รับเชื้อจากการถูกหมัดหนู
ที่มีเชื้อแบคทีเรียตัวนี้กัดและสามารถติดต่อได้ทางเสมหะและการหายใจจากคนหรือสัตว์ที่มีเชื้อนี้ได้อาการจะแบ่งเป็น 3ชนิดเลย คือ กาฬโรคต่อมน้ำเหลือง คนป่วยจะมีไข้ และหนาวสั่นอย่างกะทันหันปวดหัว อ่อนเพลีย และมีต่อมน้ำเหลืองบวม เจ็บ หรือมีความรู้สึกไว อย่างน้อย 1 จุด เช่น ขาหนีบ รักแร้ หรือคอ และจะมีขนาดประมาณไข่ไก่
กาฬโรคปอด คนที่ป่วยจะมีอาการคล้าย ๆ ต่อมน้ำเหลืองครับ คือ มีไข้ เพลีย ปวดหัว มีการคลื่นไส้ และปอดบวมอย่างรวดเร็ว ทำให้มีอาการไอ เจ็บหน้าอก รายอาจทำให้มีน้ำมูกไหลหรือน้ำมูกปนเลือด ไปจนถึงทำให้การหายใจล้มเหลวหรือช็อกได้ภายใน2 วัน หลังจากติดเชื้อกาฬโรคปอด อาจเกิดขึ้นจากการที่ผู้ป่วยหายใจเอาละอองเชื้อเข้าไป หรืออาจเกิดจากแบคทีเรียแพร่กระจายสู่ปอดซึ่งกาฬโรคชนิดนี้นับว่ารุนแรงท่าสุดเลยนะครับที่สำคัญสามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้ด้วย
กาฬโรคแบบโลหิตเป็นพิษหรือติดเชื้อในกระแสเลือด ชนิดสุดท้าย อาการบางส่วนจะค่อนข้างคล้าย ๆ สองตัวข้างบนเลย คือ มีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลียอย่างรุนแรง ช็อก ปวดท้อง และท้องเสีย อาเจียน แต่ที่น่ากลัวมาก ๆ เลยก็คือ การติดเชื้อกาฬโรคชนิดนี้จะทำให้เลือดออกตามผิวหนังไปจนถึงอวัยวะอื่น ๆ อีกด้วย เช่นปาก จมูก ผิวหนังบางส่วนจะเปลี่ยนเป็นสีดำ เช่นพวกตามนิ้วมือนิ้วเท้าครับ กาฬโรคชนิดนี้มีสาเหตุจากหมัดที่มีเชื้อกัดหรือผู้ป่วยสัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อหรืออาจมีสาเหตุจากกาฬโรคต่อมน้ำเหลืองหรือกาฬโรคปอดที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
กาฬโรคในไทย
ในประเทศไทยของเราเองก็ไม่ได้รอดพ้นจากเงื้อมมือทานอสแห่งวงการโรคระบาดอย่างกาฬโรคนะจ๊ะ ว่ากันว่ากาฬโรคนั้นได้ระบาดมายังประเทศไทยผ่านพ่อค้าชาวอินเดียทางฝั่งธนบุรีช่วงปี พ.ศ.2447 โดยเชื่อว่าสาเหตุน่าจะมาจากหนูที่มีเชื้อกาฬโรคผ่านเรือสินค้าจากประเทศอินเดีย จากนั้นก็ระบาดลามไปถึงฝั่งพระนคร และลุกลามไปยังจังหวัดอื่น ๆ ไม่ปรากฏตัวเลขผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อที่แน่ชัด
หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2456 มีรายงานว่าเกิดกาฬโรคระบาดที่จังหวัดนครปฐม มีผู้เสียชีวิต 300 คน และพบครั้งสุดท้ายในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2495 มีรายงานผู้ป่วย 2 รายตาย 1 ราย ที่ตลาดตาคลี นครสวรรค์ จากนั้นไม่มีรายงานกาฬโรคเกิดขึ้นในประเทศไทยจนปัจจุบันนี้
ปัจจุบัน ถึงแม้ทั้ง 3 โรคระบาดร้ายแรงเหล่านี้ จะไม่ได้กลับมาระบาดอีกครั้งในประเทศไทยของเรา แค่ก็ใช่ว่าวิวัฒนาการของเชื้อโรค เชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียจะหยุดวิวัฒนาการตามไปด้วย
อย่างล่าสุดที่ประเทศไทยและคนทั่วโลกต้องเผชิญปัญหาโรคระบาดร่วมกันอย่าง โควิด 19 ก็ทำให้เราตระหนักได้ว่า การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐจริง ๆ ครับ
หมั่นระมัดระวังตัวเองเมื่ออยู่ในที่ชุมชนแออัด สวมหน้ากากอนามัย (ถ้ามีใส่อ่ะนะ อิอิ) และหมั่นล้างมือด้วยเจลล้างมือหรือสบู่ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ในอันตราส่วนที่พอดี เมื่อไม่มีใครดูแล พวกเราก็ต้องดูแลตัวเองเนอะทุกคน