นึกย้อนไปช่วงปลายปีที่แล้ว... สมัยที่เจ้าไวรัส
“โคโรนา” ตัวร้ายนี้เริ่มระบาดในจีนใหม่ ๆ
สารภาพตามตรงเลยล่ะว่าตัวผมเองยังมองเป็นเรื่องตลกโปกฮาอยู่เลย
ไอ้ตัวเราเองก็ชอบดูหนังซอมบี้ ไวรัสล้างโลกอยู่แล้ว ทุกเรื่องก็มักจะจบลงด้วยดี
เลยทำให้เกิดความประมาท ละเลย เพิกเฉย และมองข้ามความน่ากลัวของมันไป
พอมาวันนี้... เจ้าไวรัสได้ชื่อใหม่ แถมเข้าใกล้ตัวเราขึ้นทุกวัน จนบางทีก็ไม่แน่ใจตัวเองว่า... กูติดยังวะ?
ฟังดูอาจจะมองว่าเป็นคำพูดติดตลก แต่ทุกคนก็รู้แก่ใจกันดีว่าสถานการ์แบบนี้มันเป็นเรื่องที่ขำไม่ออกจริง ๆ
ทุกอย่างรอบตัวเริ่มสั่นคลอน การใช้ชีวิตมันไม่ง่ายเหมือนตัวละครในหนังเลยซักนิด
ในวันนี้มันรุนแรงกว่าที่คิดไปมาก ไม่ใช่แค่วิกฤติทางสุขภาพนะ แต่กลับลามไปถึงวิกฤติทางเศรษฐกิจของโลก
และกำลังเป็นวิกฤติหนึ่งที่อาจเปลี่ยนแปลงโลกไปอย่างสิ้นเชิงเลยล่ะ
เป็นที่มาของมุมมองที่ผมจะมาแลกเปลี่ยนกับเพื่อน ๆ ในวันนี้ ว่าถ้าเจ้าไวรัสตัวร้ายนี้จบลง
โลกของเราจะเปลี่ยนไปยังไงกันนะ...
วิถีชีวิตของผู้คนจะเปลี่ยนไป
ผมว่าสิ่งแรกที่พวกเราทุกคนจะรู้สึกตัวได้เป็นอย่างดีคงจะหนีไม่พ้นชีวิตประจำวันของพวกเราทุกคนนั่นแหละเนอะ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน การดำรงชีวิตในแต่ละวัน รวมไปถึงเรื่องเล็กน้อยที่สุดอย่างความสัมพันธ์ทางกายภาพ
เราทุกคนตีตัวออกห่างกันมากขึ้น!
ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ อยากการจะหาอะไรกินซักอย่าง ถ้าไม่ทำกินเองที่บ้านก็มักจะสั่งเดลิเวอรี่มากินใช่มั้ยล่ะ
มุมนึงก็ดีนะ ได้สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว ได้ฝึกสกิลการทำอาหารของตัวเอง หรือถ้าสั่งก็ได้ลองร้านใหม่ ๆ ที่เราไม่เคย
แต่อีกมุมนึงสังคมนอกบ้านของเราจะเปลี่ยนไป จากเพื่อนที่เคยพบเจอกันทุกวันก็แทบจะไม่ได้เจอ
และนี่อาจเป็นสาเหตุที่บางคนเริ่มรู้สึกว่าอยู่กับตัวเองก็ดีเหมือนกันแหะ
แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด... บางคนกลับยิ่งเบื่อเหงา และต้องการเข้าหาสังคมมากขึ้น เหมือนเป็นการอั้นอั้นของคนที่ไม่ชอบอยู่ติดบ้านนั่นเอง 555
โลกของการทำงานจะเปลี่ยนไป
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เริ่มมาจากธุรกิจส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถทำงานแบบเดิมได้ คนที่เป็นพนักงานต้องเดินทางไปทำงานข้างนอกก็ไม่สามารถออกไปทำงานได้
ยิ่งมีนโยบาย “อยู่บ้านช่วยชาติ” เข้ามาอีก หลายคนต้องทำงานที่บ้าน หลายคนไม่ต้องทำงาน แค่นอนอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรก็เท่ากับเป็นการช่วยชาติแล้ว
แต่สุดท้ายเมื่อเราต้องอยู่ในบ้านนาน ๆ ยังไงก็ยังมีรายจ่ายที่ต้องจ่ายอยู่ดีนั่นแหละ ทำให้ต้องหารายได้ด้วยหนทางใหม่ ๆ แม้จะเป็นงานเดิมที่อยู่ก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็นสรรหาเทคโนโลยีดิจิทัลในการทำงาน ทั้งในการทำงานจากที่บ้าน (Work from home) รวมถึงการนำมาสร้างธุรกิจใหม่ๆ
แม้อาจมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่ในระยะเวลาหนึ่งเทคโนโลยีจะแก้ข้อจำกัดนั้นได้ และเมื่อระบบออนไลน์ทำได้มีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยลดต้นทุน
อนาคตเราอาจจะเลือกใช้วิธีนี้ไปตลอด จนกลายเป็นวิถีชีวิตปกติ
เราทุกคนต่างไม่รู้ว่าวิกฤตินี้จะยาวนานอีกแค่ไหน อาจแค่หนึ่งเดือน หรืออาจยาวนานข้ามไปเป็นปีก็เป็นได้
การหาแนวทางในการทำธุรกิจใหม่ ๆ ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลจึงเกิดขึ้นใหม่มากมายในช่วงนี้
ธุรกิจและอุตสาหกรรมหลาย ๆ อย่างจะเปลี่ยนไป
หลังจากที่มีการแพร่ระบาดขอไวรัสนี้ออกมา สิ่งที่สังคมให้ความสำคัญมากต้น ๆ คงจะหนีไม่พ้น Social distancing ที่ไม่เพียงเปลี่ยนชีวิตประจำวัน
แต่ยังลามไปถึงสังคมภายนอกด้วย!!!
ปัญหาหลัก ๆ ก็คือผู้คนไม่สามารถออกมาพบปะสังสรรค์กันแบบเดิมได้ รูปแบบของการทานอาหารนอกบ้านก็เปลี่ยนไป หันมาใช้บริการสั่งอาหารผ่านเดลิเวอรี่
นี่เลยเป็นการตอกย้ำให้ร้านค้าและห้างสรรพสินค้าแบบดั้งเดิมต้องเร่งพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเพื่อช่วงชิงตลาดจากการค้าขายแบบออนไลน์มากขึ้นอีก
รวมทั้งเทคโนโลยีดิจิทัลหลายประเภทที่มีมานานแล้วแต่ยังไม่มีคนใช้กันมากนัก วิกฤตครั้งนี้กลับบังคับให้คนต้องหันมาใช้เทคโนโลยีเหล่านี้อย่างจริงจัง
สิ่งสำคัญก็คือเราจะต้องสร้างโอกาสต่อยอดให้ความสำคัญกับตลาดกลุ่มนี้มากขึ้นนั่นเอง
อย่างวงการอสังหาก็จะเริ่มเห็นการเปิดโครงการที่เป็นไลฟ์สดกันบ้างแล้ว
นี่เลยเป็นการบ้านหลักที่เพจติดดอยของเราก็ต้องพัฒนาต่อไปด้วย 555
เพราะผมเชื่อว่าพอคนอยู่ในสภาวะนี้ไปนาน ๆ ก็จะเริ่มคุ้นเคยและเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้เทคโนโลยีอย่างถาวรแน่ ๆ
การดูรีวิวบ้าน ส่องทำเลคอนโดในรูปแบบเดิม ๆ อาจจะไม่โดนใจเท่าที่ควรอีกต่อไป :(
มหาอำนาจของโลกจะเปลี่ยนไป
ที่ผมเลือกหัวข้อนี้มาไว้ทีหลังเพราะเห็นว่านี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนของประเทศโลกที่ 3 อย่างเราจะได้มีอำนาจมากขึ้นก็ได้ 555
เพราะจะเห็นได้ว่าประเทศแถบเอเชียของเรานั้นมีการปรับตัวและแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ชาติอื่น แม้แต่ชาติที่เจริญแล้วในยุโรปยังช่วยตัวเองไม่ได้
ถ้าใครคลี่คลายสถานการ์ได้ก่อนและเริ่มแผนการช่วยเหลือประเทศเหล่านั้น นับเป็นการสร้างสัมพันธ์ที่ดีอยู่ไม่น้อยใช่มั้ยล่ะ
อย่างพี่จีนที่ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติก่อนใครก็เริ่มแสดงพละกำลังในด้านนี้แล้ว
ผสานกับการปฏิบัติการข่าวสารได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้นานาชาติชักเลื่อมใสในความจีนได้เป็นอย่างดี
และเช่นเดี๋ยวกันกับประเทศไทยที่เราเป็นพันธมิตรที่ดีกับจีนเสมอมา ก็อาจจะได้รับผลประโยชน์ไปด้วยไม่มากก็น้อย
แต่สิ่งที่เราต้องหวังมากกว่าก็คือการก้าวผ่านวิกฤตโควิดนี้ได้อย่างอย่างรวดเร็วบ้าง เพื่อที่จะได้เริ่มฟิ้นตัวและก้าวไปอยู่แนวหน้ากับเค้าซะที
สรุปแล้วผมมองว่าการเกิดวิกฤตของโรคระบาดโควิด 19 ในครั้งนี้ ถึงแม้จะทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่วโลก แต่ทุกวิกฤตก็ย่อมก่อให้เกิดโอกาสเช่นกัน
นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะช่วยให้โลกของเราเปลี่ยนยุคไปสู่อีกยุคสมัยหนึ่งเป็น “ยุคหลังโควิด” ที่ทุกอย่างรอบตัวมีวิวัฒนาการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไป
หลายคนยังพูดถึงการ “กลับไปเป็นปกติ” อยู่เลย แต่สำหรับผมแล้วกลับทำให้นึกไปถึงคำพูดนึงที่ว่า...
ใช่แล้ว... โลกของเราจะไม่เหมือนเดิม แม้แต่นาฬิกาเรือนเดิมที่หมุนผ่านที่เดิมทุกวันก็คือวันใหม่ที่ไม่ใช่วันเดิมอยู่ดี
สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าวันใหม่ที่จะมาถึงนั้น จะมีอะไรที่ดีกว่าเดิมและแย่กว่าเดิมมากแค่ไหน โลกหลังโควิดจะเป็นยังไงก็ต้องมารอลุ้นกันเอา 555
ก่อนเหตุการณ์จี้เครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรด กัปตันใจดีจะเปิดประตูให้เด็กเข้าชมค็อกพิท นั่นเป็นภาพสวยงามที่ไม่มีวันเกิดขึ้นอีกแล้ว :)