ช่วงนี้เห็นทีใครไม่เบื่อไม่เหงาคงเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุดแล้วล่ะมั้งครับ (พ่วงไม่เครียดไปด้วยอีกหนึ่ง) แหะ แหะ
หลังจากที่ผมเพิ่งจะรีวิว HBO GO สตรีมมิ่งแพลตฟอร์มที่อิมพอร์ตมาจากเมืองลุงแซมไปได้ไม่นานนัก เห็นกระแสตอบรับจากลูกเพจแล้วเลยกล้าที่จะฟันธงว่า "นั่นแหน่ะ เบื่อเน็ตฟลิกกันล่ะสิ"
ตามที่ผมเคยบอกไปนั่นแหละครับว่า ในช่วง Social distinction ที่คนส่วนใหญ่จำเป็นจะต้องอยู่ที่บ้าน เหล่าสตรีมมิ่งออนไลน์เหล่านี้เลยยิ่งเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะพอไม่ได้ออกไปไหน ไม่ได้ทำกิจกรรมนอกบ้าน อีกหนึ่งวิธีแก้เบื่อที่นิยมกันมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นการดูหนัง ดูซีรีย์ การ์ตูน ฯลฯ ถูกมั้ยล่ะ!!
เขียนถึง HBO GO ไปแล้ว คราวนี้มาถึงคิวพระเอกคนใหม่ เอาใจเหล่าแฟนคลับ "พี่ผลไม้" กันบ้างอย่าง "Apple TV+"
จะบอกว่าใหม่ล่าสุด ผมก็พูดได้แบบไม่เต็มปากแฮะ เพราะจริง ๆ แล้วพี่แกเปิดตัวอย่างเป็นทางการจริง ๆ มาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วละนะ
แต่ด้วยความที่บ้านเรามีเจ้าถิ่นเก่าอย่าง Netflix ที่ดูเหมือนจะเป็นพระเอกคิวทอง ที่สถานะตอนนั้น(รวมถึงปัจจุบันด้วย) เค้าขึ้นหม้อสุด ๆ ทำให้น้องใหม่อย่าง Apple TV+ ดูเหมือนจะไม่ได้รับความสนใจเท่าไหร่
ช่วงนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้โชว์ของเสียที ผมเลยอยากแนะนำน้อง(ไม่)ใหม่ อย่าง Apple TV+ ให้หลาย ๆ คนรู้จัก เผื่อเป็นสตรีมมิ่งแพลตฟอร์มความบันเทิงอนไลน์อีกหนึ่งตัวเลือกแก้เบื่อในช่วงนี้กันครับ พร้อมแล้ว ไปโลดด
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่านี่คือ Apple TV+ เพราะฉะนั้นอุปกรณ์ที่ไม่ได้อิมพอร์ตจากสวนผลไม้ในนามของ Apple เลยจำเป็นที่จะต้องปัดตกไปฮะ
ซึ่งตัว Apple TV+ จะสามารถชมได้ในอุปกรณ์ของ Apple ทั้งหลายนั่นก็คือ iPhone, iPad หรือ Mac โดยทาง Apple จะคิดค่าบริการสตรีมมิ่งเป็นรายเดือน คล้าย ๆ พวก Netflix หรือ HBO GO เลยครับ โดยที่เคาะราคาอยู่ที่เดือนละ 99 บาท
เห็นราคาไม่ถึงร้อยแบบนี้ ขอบอกว่าอย่าเพิ่งตาลุกวาวกันนะครับ เพราะราคา 99 บาทนี้ เราจะสามารถเสพย์คอนเทนต์ของ Apple ได้ก็จริงอยู่ แต่มันยังไม่รวมการซื้อภาพยนตร์นะ ซึ่งก็คือการที่เราเช่าซื้อ จาก iTune นั่นแหละ
อย่าง Harley Quinn: Birds of Prey กับ Star Wars แน่นอนว่าไม่ใช่ Original Content ของ Apple ก็ต้องเสียเงินเหมือนเวลาเราซื้อหรือเช่าหนังผ่าน iTune จะขึ้นราคาแบบนี้ครับ
ส่วนที่เป็น Original Content ของ Apple อย่าง The Banker ก็จะขึ้นแบบนี้เลยครับ ไม่ต้องเสียเงินซื้อเพิ่มแต่อย่างใด
ถ้าเราใช้ Apple TV+ เราจะดูอะไรได้บ้างล่ะ?
คำตอบคือเราจะได้ดู Original Content ของ Apple ครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราใช้ Netflix เราก็จะได้ดูพวก Stranger Things , Sex Education ที่เป็น Original Netflix หรือ ถ้าเราใช้ HBO GO เราก็จะได้ดู Game of Throne ที่เป็นของ HBO ซึ่ง Apple ก็เช่นเดียวกันครับ คือเค้าจะไปดึงมือผู้สร้าง/ผู้กำกับ ให้มาทำผลงานที่เป็น Original Apple TV+ นั่นเอง
เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วมีใครได้ซื้อไอโฟน ไอแพด หรือ แมคบุ๊ค ใหม่กันไปบ้าง? ผมจะบอกว่าคุณคือผู้โชคดีเลยครับ เพราะ Apple เค้าประกาศเลยว่า สำหรับลูกค้าใหม่ที่เพิ่งจะซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ของเค้าไปตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน จะสามารถดู Apple TV+ ได้แบบฟรี ๆ ไปเลยถึง 1 ปี!! โดยจะนับจากวันที่เราสมัครนั่นเองครับ ซึ่งหลังจากครบหนึ่งปีแล้ว Apple จะทำการต่อสัญญาโดยอัตโนมัติ ถ้าไม่อยากใช้บริการต่อ ต้องกดยกเลิกนะฮะ ไม่งั้นเสียเงิน 99 บาท ทุกเดือนนะ!!
แต่ลูกค้าเก่าไม่ต้องน้อยใจไปครับ Apple เค้ามีนโยบายช่วงทดลองใช้อยู่เหมือนกัน ซึ่งจะให้เราใช้ฟรี ๆ เป็นเวลา 7 ครับ หลังจากนั้นจะคิดค่าบริการตามปกติคือ 99 บาทต่อเดือน(ไม่ถูกใจก็กดยกเลิกได้เสมอฮะ)
ส่วนน้อง ๆ นักเรียนนักศึกษา แน่นอนครับว่าพี่ผลไม้แกค่อนข้างให้ความสนใจเรื่องนี้อยู่เสมอ ดังนั้น Apple TV+ เลยมีนโยบายดูฟรีไปเลย หากน้อง ๆ เป็นลูกค้า Apple Music (ราคา Apple Music สำหรับนักศึกษาอยู่ที่ 69 บาท)
Apple TV+ จะใช้ได้มากสุดกี่คน?
พี่ผลไม้แกออกฟังก์ชั่นมาคล้าย ๆ หลายเจ้าครับ นั่นก็คือ Family Sharing โดยจะสามารถดูได้สูงสุดถึง 6 คน (รวมไอดีของเราแล้ว)
เรามาดูกันดีกว่าว่า Original Content ของ Apple อันไหน น่าสนใจบ้างนะ...
ต้องบอกก่อนครับว่า ผมไปหาอ่านตัว Original Content พี่แกอยู่ก่อนแล้ว ส่วนใหญ่ที่เจอคอมเม้นต์จะเป็นแนว ๆ "Content น้อยไปนิด" หรือ "หนังน้อยไปหน่อย" ซึ่งจุดนี้ผมคิดว่า ขึ้นชื่อว่าเป็นผลไม้ราคาแพง5555 พี่แกเอาคอมเม้นต์เหล่านี้กลับไปทำการบ้านหนักแน่นอนครับ แต่ช่วงนี้เพิ่งเปิดตัว อาจจะมีน้อยตามที่ว่าแหละ คงไม่สามารถสู้เรื่องจำนวนคอนเท้นต์กับสตรีมมิ่งที่เปิดตัวมาก่อนหน้าได้ แต่ความน่าสนใจผมว่าน่าติดตามไม่แพ้กันฮะ วันนี้เลยขอยกตัวอย่างมาพอเป็นน้ำจิ้มกันซัก 4 เรื่องแล้วกัน
The Banker (ภาพยนตร์)
ปี 2020 แล้ว แต่ปัญหาการ Racist ยังคงมีให้เห็นอยู่ตลอดในสังคมโลกในยุคปัจจุบันครับ
ซึ่งแน่นอนครับว่าเห็นใบปิดหนังที่นำแสดงโดย Anthony Mackie และ Samuel L Jackson (รู้ว่ามันอาจจะยาก แต่ลบภาพฟอลค่อนและนิก ฟิวรี่ ในมาร์เวลกันไปก่อนนะฮะ5555) โดยที่ทั้งคู่ต่างก็เป็นนักแสดงผิวสีและอย่างที่เกริ่นไปนั่นแหละครับ The Banker ก็เลยเป็นหนังที่เล่าในเรื่องของการสะท้อนสังคมการเหยียดผิวนั่นเอง ในปัจจุบันนี้ขนาดมีการรณรงค์ปาว ๆ ว่าการ Racist เป็นการกระทำที่แย่ และ ไม่ถูกต้องแต่ปัญหาเรื่องการเหยียดผิวยังมีให้เห็นอยู่เลยครับไม่ใช่แค่ผิวสีนะ(เอเชียก็โดนไปกับเค้าด้วย)
แต่!! หนังเล่าย้อนไปในปี 1939 ซึ่งเป็นช่วงที่โลกของเรายังไม่มีความเสรีภาพขนาดนี้ครับ ยุคนั้นเป็นยุคที่คนผิวสียังถูกจำกัดสิทธิมากมายในสังคม หนังเรื่องนี้จะเล่าถึงตัวละครสองตัวที่ทำการก้าวผ่านค่านิยมเหยียดผิวเหล่านี้ไปสู่การขึ้นเป็นเจ้าของธนาคารของคนผิวขาว ด้วยความยาว 2 ชั่วโมงที่ผมกล้าบอกเลยว่าสนุกเลยล่ะ แค่ดารานำผมว่าก็คุ้มค่าแล้วนะ สำหรับใครที่ชอบ The Green Mile หรือ The Hidden Figures ผมว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นอีกเรื่องที่ดูแล้วชอบกันอย่างแน่นอน
SEE (ซีรี่ส์)
คอหนังแนวแฟนตาซีผมว่าเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาดแต่อย่างใด พ่วงด้วยฝีมือการเขียนบทของ Steven Knight และผู้กำกับอย่าง Francis Lawrence ที่เคยสร้างผลงานที่น่าประทับใจมาแล้วอย่าง The Hunger Games และ I Am Legend ประกอบกับนักแสดงอย่าง Jason Momoa หรือพ่อหนุ่ม Aquaman นั่นเอง ดังนั้นซีรี่ส์เรื่องนี้จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ดูเลยครับ5555
แล้วเรื่องราวของซีรี่ส์นี่ก็ช่างเหมาะเจาะกับสถานการณ์ในช่วงนี้ซะเหลือเกิน เมื่อเกิดโรคระบาด(ในหนัง)จนทำให้มนุษย์โลกหายไปกว่าครึ่ง ดังนั้นธรรมชาติจึงสร้างอนาคตของเผ่าพันธ์มนุษย์ที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมครับ ผ่านไปกว่าร้อยปีลูกหลานของเราจึงปรับตัวเพื่อความอยู่รอดด้วยการกลับไปรวมกลุ่มเป็นชนเผ่าเหมือนกับมนุษย์ในยุคดึกดำบรรพ์ครับบนโลกของ "คนตาบอด" ใช่แล้วครับ มนุษย์ในหนังเหล่านี้ตาบอดหมด!!
แต่แล้ววันหนึ่งก็ได้มีมนุษย์แฝดถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก พร้อมทั้งความสามารถพิเศษอย่างการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ตั้งแต่กำเนิด ซึ่งพระเจ้า มันไม่มีมานานมากแค่ไหนแล้วเนี้ย ดังนั้นการที่มีมนุษย์ที่สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ จึงถือว่าเป็นเรื่องที่วิเศษสุด ๆ เลยทีเดียว เอาเป็นว่าผมเล่าย่อ ๆ แค่นี้แล้วกัน เล่าหมดจะกลายเป็นการสปอยกันซะเปล่า ๆ แต่ขอบอกว่าเรื่องนี้ หากใครเป็นคอซีรี่ส์หรือหนังแนวแฟนตาซี โลกดิสโธเปีย ห้ามพลาดเลยครับสนุกมาก ๆ พี่ผลไม้ทุ่มทุนสร้างสุด ๆ
Defending Jacob (ซีรี่ส์)
ยกมือเบา ๆ ว่าเค้ายังไม่ได้ดูเพราะเรื่องนี้เราจะได้ดูพร้อม ๆ กันในวันที่ 24 เมษายน นี้ครับ ถึงแม้จะยังไม่ได้ลงจออุปกรณ์ของพี่ผลไม้ แต่เห็นพ่อหนุ่มกัปตันอเมริการอย่าง "Chris Evans" แล้วรู้สึกคันไม้คันมืออดไม่ได้ที่จะยกมาแนะนำครับ
เมื่อพ่อหนุ่มกัปตันอเมริกาต้องทิ้งบทฮีโร่ขวัญใจเมืองลุงแซมมารับบทพ่อที่ต้องปกป้องลูกชายที่กลายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมซะงั้น แน่นอนครับว่าพ่อต้องเชื่อในตัวลูกชายของตัวเองอยู่แล้วล่ะว่า "ลูกฉันเป็นคนดี ลูกฉันไม่ได้ฆ่าใครตายนะ" โดยลูกชายก็ไม่ใช่ใครคนไหนไกลครับ "Jaeden Martell" หนุ่มน้อยหน้ามนที่เคยมีผลงานร่วมกับ "Chris Evans" มาก่อนแล้วอย่างภาพยนตร์เรื่อง "Knives Out" ใครฆ่าประเสริฐ เอ้ย ฆาตกรรมหรรษา ใครฆ่าคุณปู่ นั่นเอง!!
Amazing Stories (ซีรี่ส์)
อีกหนึ่งความแฟนตาซี ที่เมื่อเอ่ยชื่อถึงหลายคนก็คงต้องร้องอ๋อไปตาม ๆ กัน กับผลงานจาก สตีเวน สปีลเบิร์ก โดยซีรี่ส์จะมีมีอัพเดทอาทิตย์ละตอนทุกวันศุกร์ อย่างตอนแรกอย่าง The Cellar นี่ก็ได้พ่อหนุ่มนักวิ่งจาก The Maze Runner อย่าง Dylan O'Brien มาร่วมแสดงด้วยนะ เนื้อเรื่องสไตล์คลาสสิคผสมความไซไฟกลิ่นอายที่เราคุ้นเคย ถือเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่ผมว่าไม่ควรจะพลาดเลยจริง ๆ ฮะ(แอบสารภาพว่าดูไปแค่ตอนเดียว)
และนอกจากที่ผมหยิบมาแนะนำเพื่อน ๆ แล้ว ยังมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กันเลยนะ และตามที่บอกว่ายิ่งใครที่เป็นลูกค้าใหม่ ดูฟรีกันไปเลยหนึ่งปี (ใช้สิทธิของเราให้คุ้ม)
แม้ตอนนี้โดยรวม Original Content ของ Apple TV+ จะมีน้อยมากเมื่อเทียบกับสตรีมมิ่งเจ้าอื่น แต่หลัก ๆ ที่ผมว่าน่าสนใจคือการดึงผู้กำกับ นักแสดง ฯลฯ ที่มากความสามารถ มีผลงานการันตีแล้วว่าเยี่ยมมาทำ Original Content เป็นของตัวเองได้ นี่สิที่ผมว่าเป็นจุดแข็งของเค้าเลยล่ะ ซึ่งในอนาคตแน่นอนว่าพี่แกยังต้องมีทั้งหนังทั้งซีรี่ย์น้ำดีอีกหลาย ๆ เรื่องจอคิวเข้าสวนผลไม้มาให้เราเสพย์ถึงมือกันอย่างแน่นอน (จะติดก็แค่ดูได้แต่ในกลุ่มคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Apple แค่นั้นเอง)
Social distinction อยู่บ้านเบื่อ ๆ แบบนี้ใครที่ใช้สินค้าของทาง Apple อยู่ก็ลองเอา Apple TV+ ไปพิจารณากันได้นะ หรือใครที่ใช้บริการก่อนแล้ว อยากรีวิวหนัง ซีรี่ส์ หรือ การใช้งานของเจ้า Apple TV+ ก็ลองมาพูดคุยแบ่งปันแก้เบื่อในช่วงนี้กันไปก่อนครับ 55555