ย้อนกลับไปสมัยก่อนโน้น เราตกตะลึงกับหุ่นยนต์ "อาซิโม" เราตื่นเต้นกับเทคโนโลยีอวกาศ เพราะว้าวกับการเคลื่อนไหวของเจ้าหุ่นยนต์ "R2-D2" และ "C-3PO" จาก Star Wars

        มองย้อนกลับไปถึงตอนนั้นผมก็รู้สึกเหมือนทุกอย่างยังสดใหม่อยู่ในความทรงจำจริงๆ นะ ความจริงแล้วมันใช้เวลาไม่นานเลยที่มนุษย์เราใช้เทคโนโลยีอย่างหุ่นยนต์เข้ามาทดแทนแรงงานมนุษย์ในอุตสาหกรรมและกลุ่มธุรกิจต่างๆ อย่างที่เป็นกันอยู่ในทุกวันนี้

        ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมหลายเจ้าเองก็ค่อยๆ ปรับตัวครับ แทนที่จะจ้างคน ไม่สู้ริเริ่มเอาเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ 

        และต้องยอมรับจริงๆ ว่าตัวแปรสำคัญในการเร่งความคิดเหล่านี้คือการเข้ามาของ Covid–19 หลายอุตสาหกรรมหันไปพึ่ง Ai หรือ Robot กันมากขึ้นกว่าเดิม แน่นอนว่าเพื่อลดต้นทุนแรงงานกันด้วยล่ะส่วนหนึ่ง หลายบริษัทด้านไอทียักษ์ใหญ่ยังใช้หุ่นยนต์ในโรงงานกันเลย

        ต้องพูดว่าตอนนี้พัฒนาการของ Ai นั้นเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันเรามากขึ้นจริงๆ ผมเองก็นึกขึ้นมาได้ว่าช่วงปลายปีที่ผ่านมาผมได้ไปงานเปิดตัว "Obodroid" ผู้พัฒนาหุ่นยนต์สัญชาติไทยมาครับ และรู้สึกว่านี่ก็น่าสนใจไม่น้อยเลยเหมือนกัน

        สำหรับ "Obodroid" นั้นย่อยง่ายๆ กันเร็วๆ เลยก็คือเป็นบริษัทวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์บริการและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน เค้าได้จับมือกับพันธมิตร MQDC พัฒนาหุ่นยนต์ออกมาเพื่อตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจ ทั้งในด้านอสังหาริมทรัพย์และด้านอื่นๆ ครับ

        เจ้าหุ่นยนต์ที่ว่านี้จะเข้ามาเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัยและประชาชนทั่วไป ที่สำคัญคือเป็น "หุ่นยนต์สัญชาติไทย" ด้วย!

        ในงานนั้นผมได้เจอหุ่นยนต์ด้วยกันทั้งหมด 4 รูปแบบ

        "ไข่ต้ม (KAITOMM)" หุ่นยนต์เพื่อน / ผู้ช่วยส่วนตัว 

        "เอสอาร์วัน (SR1)" หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย

        "ปิ่นโต (PINTO)" หุ่นยนต์ส่งของเพื่อช่วยการส่งของระหว่างบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยในโรงพยาบาล

        "กระจก (MIRROR)" แท็บเล็ตพร้อมแอปพลิเคชั่นเพื่อใช้ในการสื่อสารทางไกล

        ซึ่ง 2 แบบสุดท้ายนั้นเป็นหุ่นยนต์และเทคโนโลยีที่ทางบริษัทเค้าได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมพัฒนาครับ

        สำหรับ "ไข่ต้ม (KAITOMM)" นั้นผมมองแวบแรกแล้วแอบนึกถึงเจ้าหุ่นยนต์สำรวจรุ่นล่าสุดที่ชื่อ อีฟ (EVE) จากเรื่อง WALL·E ขึ้นมาเลย 55555

        แต่ไข่ต้มไม่ใช่หุ่นยนต์สำรวจ แต่เป็นเพื่อน / ผู้ช่วยส่วนตัวของคนทุกวัยครับ ฮอตฮิตมาก เด็กๆ ชอบ เพราะน้องพูดเพราะ ขานรับครับผมๆ ทุกคำเลย ไข่ต้มมาเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่ทำให้การเชื่อมต่อกับทุกสิ่งบนโลกใบนี้เป็นไปได้อย่างสะดวกรวดเร็ว สามารถรับคำสั่งและพูดคุยกับผู้ใช้งานในภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ด้วย

        สำคัญกว่าคือสามารถเชื่อมต่อกับระบบ Home Automation เพื่อสั่งการเปิด/ปิดไฟ รวมทั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ภายในที่พักอาศัยได้ด้วยนะ นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับวัดค่าสัญญาณชีพต่างๆ เพื่อช่วยดูแลสุขภาพของเจ้าของผู้ใช้งานได้อีกต่างหาก

        น้องไข่ต้มเป็นหุ่นยนต์ที่มีกล้องภายในตัวครับ เลยทำให้สามารถใช้เป็นกล้องวงจรปิด หรือโทรวีดีโอคอลได้ (ว้าวววว) และมีฟังก์ชั่นอื่นๆ อีกเพียบไม่ว่าจะเป็นการตั้งเตือน ตั้งปลุก เล่นเพลง สวดมนต์ (ใช่แล้ว น้องสวดมนต์ได้!) เช็คสภาพอากาศ และอื่นๆ อีกมากมาย เหมาะมากสำหรับใช้ในที่พักอาศัยเพื่อเป็นผู้ช่วยผู้ดูแลให้กับผู้ใช้งานได้ในทุกเพศทุกวัย สุดยอดไปเลยไข่ต้ม!

        ด้าน "เอสอาร์วัน (SR1)" เป็นหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยครับ อาจไม่ได้มีลักษณะดุ๊กดิ๊กเหมือนไข่ต้ม แต่ก็มีเด็กๆ ชอบเข้าไปเล่นด้วยเหมือนกัน

        เอสอาร์วันมีระบบเดินตามเส้นทางที่กำหนดไว้ได้อัตโนมัติ ประกอบด้วยกล้องรอบตัว 360 องศาเพื่อเก็บข้อมูลภาพและเสียงที่เกิดขึ้นในสถานที่ต่างๆ ซึ่งมีการใช้เทคโนโลยี Ai ในหุ่นยนต์ตัวนี้คือ เทคโนโลยีการตรวจจับวัตถุในซอร์ฟแวร์ของตัวหุ่นยนต์ ทำให้สามารถตั้งค่าโปรแกรมในการตรวจจับวัตถุต่างๆ ตามที่ต้องการ ไม่ว่าจะใบหน้า สิ่งของ สิ่งมีชีวิต หรืออาวุธ

        น้องจะส่งข้อมูลแจ้งเตือนให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องหรือผู้รับผิดชอบด้านความปลอดภัยรับทราบได้ทันทีถ้าเจออะไรผิดปกติเข้า นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นการโทรฉุกเฉินที่ผู้อยู่อาศัยหรือผู้คนรอบๆ สามารถกดปุ่มเพื่อโทรขอความช่วยเหลือฉุกเฉินจากตัวหุ่นยนต์ได้ในทันทีอีกด้วย

        น้องเหมาะสำหรับการใช้งานในโครงการที่อยู่อาศัยครับ หรือจะใช้ในห้างสรรพสินค้าและสถานที่ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ต่างๆ ที่ต้องดูแลรักษาด้านความปลอดภัยด้วยเหมือนกัน

        ด้าน "ปิ่นโต (PINTO)" นั้น ทีมงาน Obodroid เค้าร่วมทำงานกับทีมคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย น้องเป็นหุ่นยนต์รถเข็นส่งอาหารผู้ป่วยที่สามารถควบคุมการเคลื่อนที่จากระยะไกลได้

        อีกตัวคือ "กระจก (MIRROR)" เป็นแท็บเลตใช้สำหรับสื่อสารทางไกล สามารถใช้พูดคุยระหว่างคนไข้กับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ได้ทันทีโดยไม่ต้องกดรับสายครับ และคนไข้เองก็สามารถกดเรียกหาพยาบาลได้เมื่อต้องการความช่วยเหลือ ช่วยลดทั้งความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส COVID – 19 จากการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยตรง รวมไปถึงดูแลทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรคได้ง่าย ไม่สะสมให้เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่อไปได้อีก

        ผมคิดว่าหลายคนน่าจะพอคุ้นๆ กัน เพราะช่วงโควิดระบาดใหม่ๆ น้องก็มีส่วนช่วยนะ สามารถตอบโจทย์คณะแพทย์และพยาบาลในการรับมือกับสถานการณ์วิกฤตนี้ได้ดีทีเดียว 

        ทั้งปิ่นโตและแท็บเล็ตกระจกนี้เป็นการใช้งานแบบอิสระและเบ็ดเสร็จครับ ไม่จำเป็นต้องทำการติดตั้งเครื่องมือหรือโครงสร้างอะไรเพิ่มเติม เลยทำให้แพทย์และพยาบาลสามารถใช้งานได้ทันที ซึ่งในปัจจุบันหุ่นยนต์และอุปกรณ์แท็บเล็ตชุดนี้ก็ได้ถูกกระจายไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศแล้วด้วย ช่วยได้เยอะจริงๆ

        มีข้อมูลหนึ่งน่าสนใจตรงที่ว่าในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์นั้นมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น 31% หรือ 48 ล้านตัว ภายในปี 2564 ครับ โดยกลุ่มหุ่นยนต์ที่โตที่สุดคือกลุ่มหุ่นยนต์ใช้สำหรับงานบริการตามที่อยู่อาศัยนี่แหละ

        แน่นอนว่าการที่หุ่นยนต์เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้นจะต้องมีจุดที่กังวลกันบ้างแหละ แต่ก็อย่างที่บอกไปครับว่าตอนนี้สังคมเปิดใจยอมรับการใช้งานหุ่นยนต์มาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน มากกว่าจะเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ของความทันสมัย ส่วนหนึ่งก็เพราะถูกเร่งด้วยสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 นี่แหละ

        อีกกรณีหนึ่งคือความกังวลว่าหุ่นยนต์จะมาแย่งงานเราครับ ก็จริงอยู่ที่ตอนนี้หุ่นยนต์สามารถเข้ามาทำหน้าที่บางอย่างแทนมนุษย์ได้แล้ว แต่ก็แค่ "บางอย่าง" เท่านั้นนะ สุดท้ายแล้วมันก็คือการร่วมมือกันระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์อยู่ดี เพราะเป็นไปไม่ได้ที่หุ่นยนต์จะเข้ามาแทนที่มนุษย์ได้ทุกอย่างใช่มั้ยล่ะเนอะ

        คิดไปในทางกลับกัน อุตสาหกรรมหุ่นยนต์นี้เผลอๆ จะสร้างงานแทนที่จะแย่งงานอีกต่างหาก 

        แต่ก็นั่นแหละครับ การเข้ามาของหุ่นยนต์ ความฉลาดที่เพิ่มมากขึ้นของหุุ่นยนต์ กระตุ้นให้มนุษย์เราจำเป็นต้องปรับตัวให้มากขึ้น อย่าหยุดที่จะพัฒนาตัวเองครับ เพราะนี่คือสิ่งเดียวที่มนุษย์เรามั่นใจได้ว่าเราเก่งกว่าหุ่นยนต์แน่นอน