เอาใจผู้ที่ชื่นชอบการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลกันบ้างครับ ปีนี้คริปโตเคอร์เรนซีเรียกได้ว่ามาแรงแหกทุกโค้งจริงๆ หันไปทางไหนก็เจอแต่คนเล่นกัน

        แต่แน่นอนว่าหากพูดถึงคริปโตเคอเรนซี คีย์เวิร์ดหนึ่งที่จะตามมาด้วยทันทีคือคำว่า "Bitcoin" 

        ก็นะ...ใครๆ ต่างก็รู้กันถึงความดังความฮอตของเค้า แต่ถึงอย่างนั้นถ้าถามว่าเงินดิจิทัลตัวไหนที่มาแรงที่สุดประจำปี 2021 แล้วล่ะก็ ผมว่าไม่ใช่ "Bitcoin" แต่เป็น "Dogecoin" ต่างหากครับ

        บรรดานักลงทุนต้องเคยได้ยินชื่อ "Dogecoin" ผ่านหูผ่านตากันมาบ้างล่ะ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คลุกคลีกับวงการนี้ ผมก็ว่าน่าจะเคยเห็นมันผ่านฟีดของทุกท่านอยู่บ้างนะ

        เพราะเจ้าเงินดิจิทัลตัวนี้มันมีหน้าตาสุดปั่น เป็นคริปโตหน้าชิบะที่ใครเห็นก็ต้องหยุดมือสกรอล์มองทั้งนั้นแหละครับ

        และนั่นแหละ ไอ้สิ่งนี้คือ "Dogecoin" คริปโตที่ดังที่สุดในปี 2021!!

        ว่าแต่เจ้า "Dogecoin" มันคืออะไร ไปๆ มาๆ ทำไมถึงดังเปรี้ยงปร้างได้ เดี๋ยววันนี้เรามาทำความรู้จักกับเงินดิจิทัลตัวนี้กันดีกว่า

        1. แรกเริ่มกำเนิด "Dogecoin"

        ความเป็นมาแรกเริ่มของ "Dogecoin" นั้นไม่ใช่ว่าเพิ่งมีนะ แต่ความจริงแล้วเหรียญ "Dogecoin" ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2013 แล้วครับ โดย Billy Markus วิศวกรซอฟต์แวร์ของ IBM และ Jackson Palmer วิศวกรซอฟต์แวร์ของ Adobe ที่ต้องการสร้างสกุลเงินดิจิทัลที่ “รวดเร็ว เป็นมิตร สนุก และไม่มีค่าธรรมเนียมธนาคาร”

        "Dogecoin" มีเทคโนโลยีพื้นฐานเหมือนกันกับ Litecoin และ Luckycoin ที่ใช้ระบบ Proof-of-work ไม่มีฟีเจอร์สำคัญๆ ที่แตกต่างจากสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ เท่าไหร่

        แต่หน้าตาของมันต้องบอกว่าชวนให้อยากผูกมิตรมากจริงๆ 5555 เพราะเป็นเหรียญรูปหน้าชิบะ มาจาก Meme น้องหมาชิบะที่ดังในโลกออนไลน์ ซึ่งพูดก็พูดเหอะ ไอ้เจ้ามีมที่ว่านี้ถูกยกย่องให้เป็น Meme of the year ด้วยนะ

        2. ปลดล็อกสกิลทองคำ

        ตอนนั้นก็มีคนใช้ "Dogecoin" อยู่มากพอสมควรเหมือนกันครับ หลักๆ จะใช้มันในการให้ทิปผู้ที่ทำคอนเทนต์หรือแสดงความคิดเห็นที่น่าสนใจบนสื่อโซเชียลทั้งหลาย ดังๆ หน่อยก็ในแพลตฟอร์มอย่าง Reddit หรือ Twitch

        จนมาถึงช่วงปี 2018 "Dogecoin" เริ่มกลายเป็นดาวจรัสแสง เพราะมูลค่าตลาดรวมของมันไต่ขึ้นมาแตะระดับ 2 พันล้านดอลลาร์ ทีนี้สื่อก็หันไปให้ความสนใจ พอสื่อสนใจก็มีข่าวออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ ดึงดูดให้บรรดานักลงทุนเริ่มสนใจในตัวเหรียญชิบะมากขึ้นกว่าเดิม

        ตอนนี้ "Dogecoin" กลายเป็นหนึ่งในสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดรวมกันสูงที่สุดอันดับที่ 7 ของโลกแล้วนะ แถมยังเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่หลายๆ ฝ่ายแนะนำว่าน่าสนใจสำหรับนักลงทุนด้วย

        3. ปั่นกระแสบน Twitter

        ถ้าพูดถึง "Dogecoin" ก็ต้องพูดถึงคนนี้..."Elon Musk"

        Elon Musk CEO ของ Tesla มาเกี่ยวอะไรกันกับ "Dogecoin"? เรื่องนี้ต้องพูดไปถึงช่วงที่ผู้ชายคนนี้ออกมาทวิตข้อความเกี่ยวกับ "Dogecoin" ครับ อันที่จริงเค้าก็ทวิตเกี่ยวกับ "Dogecoin" มาหลายหนแล้วเหมือนกัน ทั้งแบบพูดถึงตรงๆ หรือแค่ใส่เป็น hint ให้คนเดากันออก แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความที่เป็นคนที่โลกจับตามอง ทำให้สิ่งที่ Elon Musk ทวิตถึงนั้น กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนสนใจ

        อย่างเมื่อปี 2019 Elon Musk ทวิตว่า Dogecoin คือสกุลเงินดิจิทัลที่เขาชื่นชอบ และมันเจ๋งมาก หรือเดือนกรกฎาคม ปี 2020 ที่ทวิตภาพมีมรูปพายุที่มีหัวเป็นสุนัขชิบะ กับข้อความ “มันหลีกเลี่ยงไม่ได้” สั้นๆ แค่นี้ แต่ทำให้ราคาเหรียญ "Dogecoin" พุ่งขึ้นทันที 14% เชียว

        หรือในเดือนธันวาคมปี 2020 เค้าก็ทวิตอีกครั้งเป็นข้อความสั้นๆ ว่า "ขอคำเดียว: Doge" เท่านั้นแหละ ทำให้ราคาเหรียญ "Dodgecoin" พุ่งขึ้นอีกเกือบ 20%

        เผื่อหลายคนไม่ทราบนะ แต่ "Dodgecoin" คิดเป็นสัดส่วนกว่า 58% ของสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมดที่ถูกพูดถึงในทวิตเตอร์นะครับ มอบรางวัลขวัญใจมหาชนชาวทวิตภพให้เลย

        4. ไม่จำกัดจำนวนเหรียญ แลกเปลี่ยนไร้คนกลาง

        คุณสมบัติเด่นๆ ของ "Dogecoin" นั้นอยู่ตรงที่เป็นเหรียญที่เข้าถึงง่ายครับ

        เมื่อลองเทียบกับสกุลอื่นๆ จะรู้สึกได้ทันทีว่าไม่ได้ดูซีเรียสในการที่เราจะทำความรู้จักกับมัน ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะความน่ารักของน้องหมาชิบะที่เป็นโลโก้ของเหรียญด้วยแหละ

        และเพราะเกิดมาจากมีม มันเลยกลายเป็นมีมได้ง่ายๆ เป็นการเข้าถึงกลุ่มคนได้ดี

        และสิ่งที่ทำให้ "Dogecoin" ต่างจากเงินดิจิทัลสกุลอื่น คือการไม่จำกัดจำนวนเหรียญที่จะถูกสร้างขึ้น เป็นเหมือนสกุลเงินอื่นที่ใช้ในปัจจุบัน ไม่มีการจำกัดจำนวนของธนบัตรที่จะถูกสร้างขึ้นมา

        อีกอย่างคือใช้ระบบการแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซีแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Exchange) พูดก็คือเราสามารถแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซีกันได้โดยไม่ต้องผ่านคนกลาง ซื้อขายได้ทันทีทั่วโลก สะดวกมากๆ

        5. กระแสดี เศรษฐีใหม่

        ผมเพิ่งเจอข้อมูลน่าสนใจเร็วๆ นี้ นั่นคือเรื่องที่ว่ามีเศรษฐีเกิดใหม่จาก "Dogecoin" กว่า 1,000 คน

        ข้อมูลจาก BitInfoCharts แพลตฟอร์มติดตามข้อมูลสกุลเงินดิจิทัลบอกไว้ว่าเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2021 กระเป๋าเงิน dogecoin อย่างน้อย 1,321 ใบ พบว่าแต่ละใบมีมูลค่าอย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์!

        มีเศรษฐีหน้าใหม่เกิดขึ้นมากหลังจากที่ราคาของ "Dogecoin" เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งก็ต้องยอมรับเลยนะว่าการได้รับการสนับสนุนจากบุคคลสาธารณะนั้น สามารถทำให้เหรียญชิบะทะยานขึ้นสู่อันดับที่ดีได้จริงๆ ครับ

        ส่วนกระแสการซื้อ "Dogecoin" ในบ้านเราก็มีเคลื่อนไหวเหมือนกัน มูลค่าการซื้อขายเหรียญยังมากกว่าการซื้อขายหุ้นของบริษัทใหญ่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ บางตัวเลยเชียว

        6. การลงทุนมีความเสี่ยง

        พูดมาถึงตรงนี้ ผมก็ต้องขอยกประโยคนี้มาบอกกันหน่อย "การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน"

        สิ่งนี้คือเรื่องจริงครับ ถึงเหรียญชิบะตัวนี้จะดูน่าสนใจ ดูเป็นมิตรไม่มีพิษไม่มีภัย แต่การจะเลือกลงทุนโดยไม่สนใจอะไรเลยนั้นก็ต้องระวังเหมือนกัน

        Michael Novogratz อดีตผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์และผู้ก่อตั้งบริษัทการลงทุนคริปโตเคอร์เรนซี่ Galaxy Digital เอง ยังออกมาเตือนๆ ไว้เลย เรื่องที่ว่าไม่ให้เปรียบเทียบ "Bitcoin" กับ "Dogecoin" โดยเค้าให้ความเห็นว่า "Bitcoin" สามารถกระจายอำนาจและทำงานได้ ในแต่ละปีนั้นก็มีปริมาณมหาศาล แต่ "Dogecoin" กลับไม่ได้เป็นแบบนั้น

        หรือที่อีกหลายคนเค้ามองว่า การที่ "Dogecoin" มันบูมขึ้นเป็นเพราะผู้คนรักและสนุกไปกับเหรียญมีม นอกจากนี้อาจเป็นเพราะชื่นชอบ Elon Musk แค่นั้นแหละ...

        แต่ถึงอย่างนั้นก็มีนักลงทุนอีกฝ่ายที่ไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดนี้ และมองว่า "Dogecoin" สามารถกลายเป็นสกุลเงินระดับโลกได้จริงๆ

        การมาถึงของเหรียญมีม "Dogecoin" เป็นสิ่งที่ร้อนแรง อันนี้ต้องยอมรับครับ แต่เรื่องที่ว่าเราจะตัดสินใจลงทุนหรือไม่ อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับตัวของทุกคนเองแล้วล่ะ

        แต่ไม่ว่าในอนาคต "Dogecoin" จะไปได้ไกลแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่เรามั่นใจได้คือความบูมของมันเป็นสิ่งที่น่าจดจำของวงการคริปโตเคอร์เรนซีนี่แหละครับ เพราะนี่แสดงให้เห็นถึงพลังโซเชียลที่สั่นคลอนตลาดใหญ่หลายแห่งได้ในระยะเวลาสั้นๆ แบบนี้จะไม่น่าจดจำได้ยังไงล่ะเนอะ