ช่วงที่ผ่านมา ชาวเมกันเค้ามีของเล่นใหม่มาอวดสายตาชาวโลกกันครับ ผมเห็นลงผ่านสื่อกันอยู่เยอะทีเดียว นั่นก็คือ "Little Island" สวนสาธารณะแห่งใหม่กลางแม่น้ำฮัดสัน

        รูปแบบการดีไซน์ของมันก็น่าสนใจดีนะ เพราะจากที่เห็นจากมุมสูงก็คือเป็นสวนสาธารณะที่ตั้งอยู่ในแม่น้ำ คล้ายๆ สะพานด้วนเวอร์ชั่นใหม่ของบ้านเราเลย

        แต่ว่าที่มาที่ไปของเค้าก็ไม่ธรรมดานะครับ เพราะว่าตั้งอยู่บริเวณท่าเรือเก่าที่ถูกทิ้งร้างมาก่อน แถมประวัติน้องก็อับโชคไม่เบา!

        พูดก็พูดคือ เป็นการปรับโฉมท่าเรือเก่าอย่าง Pier 54 ให้เกิดใหม่กลายเป็นกรีนสเปซที่มีทั้งสวนสีเขียวและพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะไว้ในที่เดียวกัน เป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของนิวยอร์คเลยล่ะ

        สำหรับเจ้าเกาะน้อย Little Island นั้นออกแบบโดย Thomas Heatherwick สถาปนิกชาวอังกฤษ เจ้าของสตูดิโอออกแบบชื่อดัง "Heatherwick Studio" เจ้าเดียวกับที่ออกแบบ Vassel ที่ Hudson Yard นั่นแหละครับ ถ้าเรายังจำกันได้มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่งานชิ้นนี้ดังมากๆ เลย

        กลับมาที่ Little Island ที่ก่อนจะพูดถึงเรื่องงานดีไซน์ ผมต้องบอกก่อนว่าเจ้าอดีตท่าเรือนี่อับโชคอยู่หน่อยๆ อย่างที่ได้บอกไป

        ย้อนกลับไปสมัยกระโน้น ท่าเรือรอบ Pier 54 นั้นเอาไว้เทียบท่า 2 สายการเดินเรือ อย่าง White Star Line เจ้าของค่ายเรือไททานิกสุดโด่งดังที่อับปางไปช่วงปี 1912

        กับอีกสายหนึ่งคือ Cunard Line คู่แข่งตัวเอ้ของ White Star Line ที่ต่อมาจับมือดี๊ด๊ากันหลังจากเรือ RMS Carpathia ทำภารกิจช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากไททานิกกลับมาส่งที่ท่า Pier 54 ได้สำเร็จ

        แต่หลังจากนั้นก็ยังเกิดเรื่องอับโชคอยู่บ่อยๆ ครับ อย่างการเดินทางครั้งสุดท้ายก่อนจมลงที่ชายฝั่งไอร์แลนด์ของเรือ RMS Lusitania จากการถูกยิงในสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือพายุเฮอริเคนแซนดี้พัดกระหน่ำใส่ท่าเมื่อปี 2012 ที่มาของความวอดวายเละเทะในสมัยนั้น

        Pier 54 ฝ่าคลื่นลมฝนมานาน สุดท้ายก็เหลือไว้แค่ซากโครงเสาเหล็ก

        กระทั่งไม่นานมานี้ที่ถูกจับมาปัดฝุ่นใหม่ เปลี่ยนท่าเรือร้างให้กลายเป็นพื้นที่สาธารณะลอยน้ำ จากท่าเรือ Pier 54 ก็เปลี่ยนชื่อใหม่เอาฤกษ์เอาชัยเป็น Little Island คิ้วท์ๆ แทน

        สำหรับจุดเด่นของสวนสาธารณะลอยน้ำแห่งนี้หนีไม่พ้นการออกแบบโครงสร้างที่เสาคอนกรีตรูปดอกทิวลิปหลายขนาดจำนวน 132 กระถางเรียงต่อกันครับ

        เจ้าเสาเหล่านี้นอกจากจะเด่นสะดุดตาแล้วยังทำหน้าที่รองรับน้ำหนักของดิน ต้นไม้ และผู้คนที่มาใช้บริการสวนสาธาณะ ซึ่งก็ได้ Signe Nielsen จาก MNLA มาออกแบบภูมิทัศน์ให้อีกด้วย

        เห็นว่าเจ้าทิวลิปยักษ์พวกนี้ก่อนจะมาตั้งเค้าก็เป็นคอนกรีตหล่อสำเร็จรูปที่ขนส่งมาทางเรือครับ จากนั้นก็ค่อยเอามาประกอบหน้างานได้เลย

        จะว่าไปมันก็ดีตรงที่ว่าในการก่อสร้างจะได้ไม่รบกวนการจราจรของเมืองนี่แหละ เพราะก็อย่างที่เห็นครับว่าขนาดพื้นที่มันค่อนข้างใหญ่และติดกับถนนเหมือนกัน

        มาถึงโอเอซิสสีเขียวที่เป็นเหมือนท็อปปิ้งที่อยู่ด้านบนกันบ้าง

        ตรงส่วนนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเสาไม้เก่าที่ปักอยู่ในน้ำบริเวณท่าเรือครับ จากนั้นทีมงานเค้าก็ทำพื้นผิวให้มีระดับความสูงที่แตกต่างกัน ต่างจากการทำแบบพื้นผิวเรียบๆ เหมือนสวนทั่วไป

        และบนโอเอซิสท็อปปิ้งของเรานั้นมีพื้นที่เกือบหมื่นตารางเมตร บนนั้นจะประกอบด้วยพันธุ์ไม้มากกว่า 370 สายพันธุ์ ไม้ใหญ่ 114 ต้น และไม้พุ่มนับร้อยมาช่วยประดับตกแต่งสร้างความเขียวสบายตาได้ตลอดปี

        ในส่วนของมุมสวนจะถูกยกให้สูงกว่าด้านอื่นๆ เพื่อให้แสงอาทิตย์ส่องเข้าไปถึงที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ข้างใต้ของตัวสวนด้วย

        แวบมาดูช่วงของขอบที่ลาดลงมากันบ้าง ตรงนี้เค้าจำลองบรรยากาศให้เป็นรูปแบบของเนินเขาและจุดชมวิว รวมไปถึงมีพื้นที่ที่เป็นลานกิจกรรมทางศิลปะไว้ให้ศิลปินทุกแขนงแสดงออกครับ

        แบ่งเป็นโซนที่มีทั้งโรงละคร 700 ที่นั่ง พื้นที่การแสดงที่สามารถจุคนได้ 3,500 คน รวมไปถึงทางเดินรอบสวนที่เราสามารถชมวิวแบบต่างองศาได้ชิลๆ

        อย่างล่าสุดเห็นว่าน้องเกาะน้อยเป็นเจ้าภาพจัดการแสดงศิลปะและการเรียนการสอนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ชาวนิวยอร์กกันแบบตลอดปีแล้วครับ ครอบคลุมทั้งร้องเล่นเต้นรำ โดย Ayodele Casel นักเต้นแท็ปและนักออกแบบท่าเต้น Tina Landau นักเขียนและผู้กำกับละครเวทีมือรางวัล และ Michael McElroy นักแสดง นักร้อง และ Music Director คนดัง

        ถือได้ว่าเป็นการจับ leftover ในเมืองใหญ่มาปัดฝุ่นใหม่ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้กับคนในเมือง ใครอยู่นิวยอร์คอยากแวะไป Little Island ที่นี่เค้าเปิดให้บริการกันทุกวันตั้งแต่เวลา 06.00-01.00 น. เข้าใช้บริการฟรีครับผม

        และนอกจากตรงพื้้นที่ที่เป็นสวนสาธารณะแล้ว รอบๆ เค้ามีพลาซ่า ร้านค้า ร้านอาหาร และร้านขายเครื่องดื่มต่างๆ ไว้ให้บริการกันด้วยนะ ครอบคลุมทุกอย่างเหมาะแก่การไปพักผ่อนหย่อนใจมากๆ เลย

        นี่หรือเปล่านะที่เค้าเรียกว่า "พัฒนาคนในเมืองด้วย Public Space" น่ะ...

Photo credit: archdaily.com