ยังคงต้องจับตากันอย่างต่อเนื่องเลยครับสำหรับ 'ราคาเหล็ก' ที่พุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลกตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ที่น่ากังวลก็คือภาคอสังหาเราเนี่ยแหละ เพราะตลาดบ้าน-อาคารชุดเป็นกลุ่มหลักที่มีการใช้เหล็กเยอะเป็นอันดับต้น ๆ ในภาคอุตสาหกรรมเลย 

        เมื่อต้นทุนเพิ่มขึ้นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ราคาขายของสินค้าก็ต้องสูงขึ้นตามไปด้วย วันนี้ติดดอยเลยจะพาไปดูกันว่า ราคาอสังหาจะขึ้นสวนกระแสเศรษฐกิจที่ยังตกต่ำหรือไม่ครับ

        ปัจจุบันนี้ราคาเหล็กได้ขยับจาก 2 หมื่นบาทต่อตันบวก-ลบ มาเป็น 2.8 หมื่นบาทต่อตัน หรือราคาขึ้นไปถึง 40% จากราคาปกติ ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนการก่อสร้างโดยเฉพาะอาคารสูงที่ต้องใช้ปริมาณเหล็กมากกว่าที่อยู่อาศัยแนวราบ ถือเป็นการซ้ำเติมกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงที่ยังชะลอตัวอยู่เลยเนอะ

        แต่ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนว่าราคาเห็นที่สูงในตอนนี้ ไม่ได้หมายความว่าราคาเหล็กไม่เคยพุ่งทะยานสูงกว่านี้นะครับ เพราะถ้าเราลองมองย้อนไปในอดีตราคาเหล็กเคยพุ่งขึ้นไปเตะ 4 หมื่นบาทต่อตันนู่นน ดังนั้นการที่ราคาเหล็กยังคงวิ่งอยู่ในระดับ 2-3 หมื่นบาทต่อตันจึงยังเป็นอะไรที่พอรับไหวอยู่

        แม้ว่าจะกระทบต่อต้นทุนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย (จริง ๆ ก็มากอยู่เนอะ 5555) แต่ผมเชื่อนะว่าบรรดาผู้ประกอบการเค้ายังไม่พร้อมที่จะขึ้นราคาอสังหาตอนนี้หรอก จากยอดขายของอสังหาที่ผ่านมา ทางเลือกที่ดีน่าจะเป็นการ #ยอมเฉือนกำไร เพื่อให้ราคาบ้านและคอนโดอยู่ในระดับราคาที่สอดรับกับดีมานด์และสามารถแข่งขันในตลาดได้ 

        ถ้าใครที่ทำอาชีพค้าขายอยู่น่าจะพอคุ้นกับคำที่ว่า “ขายของได้แต่กำไรลดลงย่อมดีกว่าไม่ได้ขาย” ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในสถานการณ์ขณะนี้แล้ว ไม่ต้องมองถึงภาคอสังหาก็ได้ครับ ธุรกิจอื่น ๆ ในช่วงนี้ก็เช่นกัน อย่างบรรดาร้านอาหารต่าง ๆ ที่ต้องยอมเพิ่มต้นทุนในการจัดส่ง เสียค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทเดลิเวอรี่ทั้งหลาย

        เหตุผลหลักที่ทุกคนจำยอมก็คือต้องการให้เกิดสภาพคล่องภายในธุรกิจก่อน ให้มีกระแสเงินหมุนเวียนเข้ามาต่อลมหายใจ รอสู้ใหม่อีกครั้ง

        อีกอย่าง... จะบอกว่านักพัฒนาโครงการทั้งหลายยอมเฉือนกำไรก็คงจะไม่ถูกทั้งหมดด้วย เพราะถ้าเรามองถึงแค่กลุ่มคอนโดมิเนียมหรืออาคารสูง โครงการเหล่านี้แทบจะไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่เลยในช่วงปีที่ผ่านมา เท่ากับว่าราคาที่เค้าตั้งมาเพื่อขายตอนนี้ ก็เป็นราคาที่บวกกำไรของต้นทุนเดิมก่อนเหล็กขึ้นราคานั่นแหละครับ

        กลับกัน! กลุ่มที่น่าจะได้รับผลกระทบมากกว่าน่าจะเป็นกลุ่ม #ธุรกิจรับสร้างบ้าน ที่ต้องมาเพิ่มต้นทุนใหม่ในช่วงที่ราคาเหล็กกำลังสูงแบบนี้ แต่ถ้ามีการบริหารจัดการดี ๆ ก็คงจะไม่ใช่ปัญหาอีกเช่นกันครับ เพราะจากข้อมูลการปรับราคาค่าก่อสร้าง โดยใช้ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างของทางราชการ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 

        เค้าเผยออกมาว่ามีเพิ่มขึ้นเพียง 2.89% ยิ่งกว่านั้นในราคาขายบ้านหลังหนึ่ง เช่น บ้านเดี่ยว ตัวอาคารอาจมีราคาเท่ากับหนึ่งในสาม และอีกสองในสามเป็นค่าที่ดิน ถ้าค่าที่ดินไม่ขึ้น แต่ 33.3% ของค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น 2.89% ก็เท่ากับเพิ่มขึ้นเป็น 34.3% หรือเพิ่มขึ้น 1% เท่านั้น การที่เหล็กขึ้นราคาไป 16% ทำให้ราคาบ้านที่เสนอขายเพิ่มขึ้นจริงเพียง 1% จึงไม่มีนัยสำคัญใด ๆ นั่นเอง

        ยิ่งกว่านั้นในขณะนี้ ยังมีบ้านและห้องชุดรอขายในท้องตลาดถึง 226,645 หน่วยนั้นแสดงว่ายังมีอุปทานเหลือในตลาดอีกมากจนไม่จำเป็นต้องสร้างใหม่มากนัก

        สรุปก็คือ... แม้ว่าเวลานี้จะมีความผันผวนของต้นทุนอยู่ไม่ว่าจะเป็นราคาที่ดิน หรือราคาวัสดุก่อสร้าง แต่ส่วนตัวผมคิดว่ายังไม่สามารถกดดันให้มีการเปลี่ยนแปลงของราคาที่อยู่อาศัยได้หรอกครับ เพราะสภาวะการแข่งขัน และความสามารถในการซื้อของผู้บริโภคลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ใครขืนปรับราคาสุ่มสี่สุ่มห้า ความเสี่ยงย่อมสูงขึ้นแน่นอน

        อย่างไรก็ตามสถานการณ์ราคาเหล็กขึ้นราคานี้ก็คงจะยังคงอยู่ต่อไประยะหนึ่ง เพราะในขณะนี้ประเทศจีนฟื้นตัวอย่างมาก จนความต้องการใช้เหล็กมีมากขึ้น นอกจากนั้นประเทศมหาอำนาจเช่นสหรัฐอเมริกา ก็ปรากฏว่าราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 12% ในรอบปีที่ผ่านมา ในยุโรปราคาที่อยู่อาศัยก็เพิ่มขึ้น (ต่างจากในประเทศไทยที่ทรงตัว) จึงคงยังมีความต้องการใช้เหล็กอยู่ไม่น้อยในทั่วโลกเช่นกันครับผม