ติดโควิดก็ว่าแย่แล้ว แต่ถ้าติดแล้วไม่มีที่ให้รักษาตัวนี่ยิ่งแย่กว่า เป็นสถานการณ์ที่แค่คิดก็ท้อใจแทนจริง ๆ นะครับ ป่วยทั้งทีก็อยากให้หมอดูแลมากกว่าดูแลตัวเองที่บ้านนี่เนอะ
ซึ่งต้องบอกก่อนว่าฝั่งบุคลลากรทางการแพทย์เองเค้าก็รู้สึกไม่ต่างจากพวกเราหรอกครับ แม้ร่างกายจะเหนื่อยแต่ใจเค้าก็อยากช่วยเหลือพวกเราให้ได้มากที่สุด
โดยปัญหาหลักก็คือจำนวนเตียงในการรักษาไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วยนั่นเอง โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและพื้นที่จังหวัดสีแดงต่าง ๆ
เหตุนี้เองผมเลยได้ไปพบกับอีกหนึ่งช่องทางอย่างไลน์ @backhome ช่องทางสำหรับผู้ป่วยโควิดที่อยากรักษาตัวที่บ้านเกิด จากน้ำใจของภาคเอกชนครับ
เพราะผมเชื่อว่าคนส่วนหนึ่งที่ป่วยกันอยู่ในพื้นที่สีแดงตอนนี้ จริง ๆ ก็ไม่ใช่คนในพื้นที่นี้หรอก มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัดกันก็ไม่น้อย
การส่งผู้ป่วยเหล่านี้กลับบ้านจึงเป็นอีกทางเลือกที่ต้องนำมาใช้ในสถานการณืแบบนี้ เพราะถึงอยู่ในพื้นที่สีแดงต่อไป ก็มีแต่จะได้รับการรักษาที่ไม่ดีเท่าที่ควร จะส่งผลให้อาการยิ่งแย่ไปกันใหญ่
ที่สำคัญผมว่าน่าจะช่วยให้บุคลาการทางการแพทย์และหน่วยงานในพื้นที่สีแดงได้ลดจำนวนผู้ป่วยที่ต้องดูแลลงไม่มากก็น้อยครับ
อีกอย่างสำหรับการป่วยไข้แล้ว กำลังใจก็เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราได้กลับไปรักษาที่บ้านเกิด อยู่ใกล้กับกำลังใจที่เราต้องการ แม้จะต้องเว้นระยะห่างแต่ก็มีผลต่อใจเยอะครับ
สำหรับใครที่เป็นผู้ป่วยโควิดและอยากกลับไปรักษาตัวที่บ้านเกิดแต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ผมอยากแนะนำให้ลองแอดไลน์ @backhome กันไปดูนะ
โปรเจกต์นี้เป็นการน่วมมือจากภาคเอกชน ได้แก่ หมอแล็บแพนด้า, รายการ เรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์, เราต้องรอด และอื่น ๆ รวมตัวกันช่วยประสานงานกับทางจังหวัด เริ่มตั้งแต่ประสานเบื้องต้นระหว่างผู้ป่วยกับโรงพยาบาลประจำจังหวัด ประเมินอาการเบื้องต้นร่วมกับแพทย์ รวมไปถึงจัดหารถส่งตรงถึงบ้านเกิด
โดยมั่นใจได้ว่าเพื่อน ๆ หรือผู้ติดเชื้อไม่จำเป็นต้องใช้รถสาธารณะร่วมกับบุคคลทั่วไป และจะไม่ทำให้เกิดการแพร่กระจายระหว่างทางอย่างแน่นอนครับ
ไอเดียนี้ริเริ่มจาก ‘ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า’ อายุรแพทย์ระบบประสาท ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสนาม หอพักหญิงที่ 26 จังหวัดขอนแก่น
ที่เค้าอยากให้ระบบการส่งต่อผู้ป่วยโควิดที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด แต่อาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ ได้กลับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่ต่างจังหวัดซึ่งยังพอรองรับผู้ป่วยได้
โดยเห็นว่าการให้ผู้ป่วยกลับไปรักษาตัวที่บ้านเกิดเป็นประโยชน์ต่อสภาพจิตใจของผู้ป่วยเอง และเป็นการแบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ด้วย
ซึ่งบอกก่อนนะครับว่าเค้ามีข้อแม้ในการใช้บริการกันอยู่เล็กน้อยตรงที่ผู้ป่วยที่เคลื่อนย้ายได้ต้องอยู่เฉพาะในกลุ่มสีเขียวหรือสีเหลืองอ่อนเท่านั้น และต้องได้รับการวินิจฉัยเบื้องต้นจากแพทย์ก่อนเคลื่อนย้าย
โดยเริ่มจากแอดไลน์ @backhome เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ก่อน แล้วจะมีการประสานไปยังเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เพื่อประเมินอาการ และติดต่อไปยังโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนามในจังหวัดปลายทางเพื่อจัดหาเตียงให้ครับ
ทั้งนี้หลายคนอาจจะยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการนำตัวผู้ป่วยออกจากกรุงเทพฯ ที่เป็นพื้นที่สีแดง และการกักตัว 14 วันเมื่อเข้าถึงพื้นที่ปลายทาง ซึ่งจะก่อให้เกิดการแพร่ระบาดไปกันใหญ่
ซึ่งทางโครงการ ‘Back Home’ แม้จะไม่สามารถยืนยันให้เรามั่นใจได้ แต่เค้าก็จะประสานกับทางกรุงเทพฯ และภาครัฐเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการเคลื่อนย้ายสูงสุด ซึ่งดีกว่าการเดินทางกลับต่างจังหวัดด้วยตัวเองอย่างแน่นอน
เพิ่มเติมอีกนิดสำหรับใครที่รู้ผลว่าติดเชื้อ Covid-19 แล้วก็อย่าเพิ่งตระหนกกันไปนะครับ สิ่งที่เราควรทำมากที่สุดก็คือตั้งสติไว้กับตัวให้มากที่สุด
เพราะอย่าลืมว่าคุณไม่ได้รอความตาย โรคนี้หายได้ ถ้ารู้ขั้นตอนการดูแลและประเมินอาการอย่างถูกต้อง และต้องแยกกักตัวอย่างเคร่งครัด
ซึ่งเมื่อรู้ตัวเองว่าติดและตั้งสติได้แล้ว เรามาดูกันดีกว่าว่าระหว่างรอเตียงรักษานั้นเราจะทำอะไรก่อนได้บ้าง เริ่มจากประเมินอาการตนเองเบื้องต้นว่าอยู่ระดับใดก่อนเลย ตามนี้
1. ประเมินระดับอาการป่วย
ขั้นตอนแรกให้คุณแยกกักตัวเอง สวมหน้ากาก พร้อมประเมินอาการเบื้องต้นว่าอยู่ระดับใด (เขียว/เหลือง/แดง)
2. สิ่งที่ควรหาซื้อติดไว้ (ถ้าทำได้)
3. เตรียมข้อมูลเพื่อประสานหาเตียง/ขอความช่วยเหลือ
4. ติดต่อ "@backhome" หรือช่องทางอื่น ๆ
โดยให้ผู้ป่วยลงทะเบียนพร้อมระบุรายละเอียด ดังนี้
5. ผู้ป่วยสีเขียว เข้าระบบ Home Isolation
เข้าสู่ระบบการรักษาด้วยตัวเองไปก่อน อย่าเพิ่งกระวนกระวายแล้วออกไปวิ่งหาสถานพยาบาลเพื่อรักษาด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดไปยังบุคคลอื่นได้ครับ
โดยผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียวสามารถเข้าระบบ Home Isolation หรือ Community Isolation ซึ่งทั้งหมด จะอยู่ภายใต้การดูแลของคลินิกชุมชนอบอุ่น
โดยคลินิกชุมชนอบอุ่นในพื้นที่จะติดต่อไปหาผู้ป่วยภายใน 48 ชั่วโมง จากนั้นจะส่งเครื่องวัดไข้และเครื่องวัดระดับออกซิเจนในเลือดไปให้ที่บ้าน รวมถึงยาฟ้าทะลายโจร
และจะมีบุคลากรทางการแพทย์ของคลินิกนั้นๆ ดูแล แพทย์จะวิดีโอคอลหาทุกวันเพื่อติดตามประเมินอาการ พร้อมจัดส่งอาหารให้วันละ 3 มื้อ
ส่วนของผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองและสีแดง (อาการรุนแรงปานกลางและรุนแรงมาก) จะไม่ใช้การดูแลแบบ Home Isolation แต่จะรับตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาล
รวมทั้งกรณีผู้ป่วยที่รักษาตัวที่บ้านแล้ว อาการมีแนวโน้มแย่ลง คลินิกชุมชนอบอุ่นที่ดูแลผู้ป่วยรายนั้น จะประสานกับโรงพยาบาลรับส่งต่อผู้ป่วยไปรักษายังโรงพยาบาลที่อยู่ในเครือข่าย
ในกรณีที่โรงพยาบาลรับส่งต่อก็เตียงเต็มอีก ก็จะประสานสายด่วน 1330 ของ สปสช. หรือสายด่วน 1668 ของกรมการแพทย์ เพื่อหาเตียงให้ ซึ่งระหว่างที่รอเตียงอยู่ ก็จะส่งยาฟาวิพิราเวียร์ไปให้ที่บ้าน เพื่อประคองอาการ จนกว่าจะได้เตียง
ถึงแม้จะช่วยได้ไม่มากก็น้อย แต่ก็ถือเป็นอีกช่องทางที่ช่วยให้คนป่วยได้มีความหวังมากขึ้น อย่างที่บอกติดโควิดก็แย่แล้ว ไม่มีเตียงรักษานี่ยิ่งหดหู่ใจไปใหญ่ คอนโดติดดอยขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนทุกฝ่ายนะครับ เราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน สู้!!!!!
LINE : @backhome (คลิก!!!) ตลอด 24 ชั่วโมง
“ได้วิวแม่น้ำ สวยขนาดนี้เลยรึนี่?!“ เป็นความรู้สึกของผมตอนที่ขึ้นไปชั้น 38 วิวสวยแบบไม่มีอะไรมาบดบังเลย มีมุมที่เห็นสวนเบญจกิติด้วย
สำหรับผมแล้ว BTS สถานี "ห้าแยกลาดพร้าว" เป็น สถานี Interchange กับ MRT ที่ผมชอบที่สุด และมักจะเป็นทำเลที่ผมแนะนำ ให้คนมาอยู่อาศัยมากที่สุดอันดับต้นๆเลย
มีความท้าทายเล็กๆ กับการเปลี่ยนอดีต ’สถานทูตออสเตรเลีย‘ ให้กลายมาเป็น ‘Luxury Condo’ และ ’Mixed-Use’ ระดับ ’iconic’ ริม ’ถนนสาทร‘
'เกือบหลับ แต่กลับมาได้' จะมีโครงการไหนกันเชียวที่จะเหมาะกับคำนี้ ถ้าไม่ใช่ 'Hyde Riverbay Charoennakorn' (ไฮด์ ริเวอร์เบย์ เจริญนคร)
โครงการใหม่ของ Major ที่แน่มาก แกร่งมาก เพราะไม่หวั่นไหวกับการต้องถูกขนาบข้างโดย Sansiri แบบรั้วชนรั้วเลย!
'dcondo calm Ramkhamhaeng 40' (ดีคอนโด คาล์ม รามคําแหง 40) ก็เป็นอีกโครงการที่ผมบอกเลยว่า คุณจะลืมภาพจำของแบรนด์ดีคอนโดแบบเดิมๆ ไปแทบหมดสิ้น เพราะโครงการนี้ เค้าอยู่ใกล้รถไฟฟ้าถึง 2 สาย ทั้งสายสีส้มและสายสีเหลือง!!!
ไหนใครกำลังจะรีไฟแนนซ์กันบ้าง ใครกำลังผ่อนบ้านอยู่เพลิน ๆ นี่ห้ามลืมเด็ดเลยนะ เพราะหนี้บ้านพอพ้น 3 ปีแรก ดอกเบี้ยจะพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดดเลย
ขออวดว่าผมได้รีวิวหนังสือเล่มนี้ก่อนหนหน้านี้แล้วด้วยนะ อิอิ แต่ที่จริงผมไม่ได้ตั้งใจรีวิวหรอก แต่เป็นคนอ่านหนังสือแล้วชอบ ‘Short Note’ ประโยคดีๆ คมๆ เก็บไว้ แต่ปรากฏว่ามันโดนบาดเยอะมาก จนสามารถเอามาลงในเพจได้เลย
ช่วงนี้ผมชอบเข้าไปดูงานออกแบบของ Foster + Partners บ่อยสุดๆ คือรู้สึกได้เลยว่าเราอินกับสไตล์การออกแบบของเค้ามากๆ ซึ่งถ้าใครไม่รู้ว่าเค้าคือใคร Foster + Partners คือบริษัทที่ออกแบบ Apple Store ตรงเซ็นทรัลเวิลด์ นั่นแหละครับ น่าจะพออ๋อกันขึ้นมาบ้างเนอะ
ยุคนี้ใครเค้าเที่ยวต่างประเทศกัน คนรวยเค้าเที่ยวนอกโลกครับ!
Apple Store นี่ไม่ว่าจะไปเปิดสาขาที่ไหน ก็สามารถกลายเป็นแลนด์มาร์คของที่นั้นๆ ได้ตลอด ล่าสุดเค้าเพิ่งเปิดสาขาใหม่ที่ประเทศมาเลเซีย ไปหมาดๆ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมานี่เอง ซึ่งนี่เป็นสาขาแรกของมาเลเซีย
เดือน 7 กำลังจะผ่านพ้นอีกแล้วนะครับ ตอนนี้อากาศกำลังชุ่มฉ่ำแบบสุด ๆ ไปเลย ซึ่งหลายเดือนที่ผ่านมามีสัญญาณว่าดอกเบี้ยแบบคงที่เริ่มกลับมาแล้วนะ