จังหวัดที่มีชื่อเสียงทางด้านการท่องเที่ยวอย่าง "ภูเก็ต" นับว่าเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ได้รับคลื่นวิกฤตโควิด-19 แทบทุกลูก ตั้งแต่มีการระบาดตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปี 2563 เนื่องจากนโยบายการปิดประเทศของหลายประเทศ จนกระทั่งการระบาดระลอกล่าสุด แม้จะมีนโยบาย "ภูเก็ต แซนด์บอกซ์" แต่ตัวเลขที่หายไปของนักท่องเที่ยวก็ยังคงน่าเป็นห่วงอยู่

        ล่าสุดครับ ทางไนท์แฟรงก์ออกมาอัพเดตโรงแรมครึ่งปีแรกของปี 2564 ว่าก่อนเกิดโควิด-19 นักท่องเที่ยวต่างชาติคิดเป็นสัดส่วนถึง 90% ของรายได้ของภาคการท่องเที่ยวในภูเก็ต จึงไม่น่าแปลกใจที่ความต้องการเข้าพักโรงแรมตกลงอย่างมาก ทำให้ในช่วงครึ่งปีแรก 2564 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าในประเทศเพียงประมาณ 700 คนเท่านั้น หรือลดลงไปถึง 99.9% เมื่อเทียบปีต่อปี 

        เมื่อนักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางได้ จึงส่งผลให้โรงแรมหลายแห่งจำเป็นต้องปิดให้บริการบางส่วนหรือปิดแทบจะทั้งหมด ปัจจุบันภูเก็ตเริ่มเปลี่ยนไปจากนักท่องเที่ยวชาวยุโรปไปสู่ชาวจีน ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุด และชาวรัสเซีย ณ ช่วงครึ่งปี 2564 จีนยังไม่เปิดประเทศสำหรับต่างชาติ ซึ่งมีผลมาตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2563 เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากไวรัสโควิด-19 

        ในส่วนของแผนการเปิดประเทศอย่าง "ภูเก็ต แซนด์บอกซ์" ที่เริ่มต้นขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้อาจมีปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากภูเก็ตพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก สำหรับซัพพลายและดีมานด์ พบว่าบริเวณหาดป่าตองประกอบด้วยโรงแรมระดับลักเซอรี่และระดับอัพสเกลเป็นส่วนใหญ่ คิดเป็น 24% ของซัพพลายทั้งหมด รองลงมาคือ หาดกะรน15% หาดบางเทา 14% หาดกะตะ 13% และหาดกมลา 10%

        ซึ่งในตอนนี้พบว่าความต้องการในการเข้าพักที่โรงแรมลดลงมาก ถ้าไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ โรงแรมระดับลักเซอรี่และระดับอัพสเกล ลดลงไป 30% ปีต่อปี อัตราการเข้าพักเฉลี่ยต่ำสุดอยู่ในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนอยู่ที่ 3% เนื่องจากการระบาดระลอก 3 ราคาเฉลี่ยรายวัน ของโรงแรมระดับลักเซอรี่และระดับอัพสเกลลดลงไป 39% ต่อปี อยู่ที่ 2,342 บาท นับเป็นระดับนิวโลว์เป็นประวัติการณ์ 

        ในครึ่งปีแรก 2564มีโรงแรมใหม่ 20 แห่งที่วางแผนจะเปิดตัวในช่วงปี 2563-2564 แต่ โรงแรมที่วางแผนจะเปิดตัวต้องชะลอการเปิดตัวออกไปถึงช่วงครึ่งปีหลัง 2564 และปี 2565 แทน มีเพียงโรงแรมวี วิลล่า ภูเก็ต บาย เอ็มแกลเลอรี (24 ห้อง) เปิดตัวในภูเก็ตในช่วงครึ่งปีแรก 2564 ซึ่งเป็นกลุ่มโรงแรมระดับซูเปอร์ลักเซอรี่

        ในด้านภาพรวมพบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ รัฐบาลไทยตั้งเป้าที่จะกระจายการฉีดวัคซีน 100 ล้านโดสให้เข้าถึง 70% ของประชาชนทั้งหมดภายในสิ้นปี 2564 ก่อนเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ การกระจายการฉีดวัคซีนต้องดำเนินการให้เร็วขึ้น เนื่องจากมีเพียง 3% ของประชาชนทั้งหมดที่ได้รับวัคซีน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 

        ขณะที่ประชาชนกว่า 60% ในจังหวัดภูเก็ตได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อยหนึ่งโดส ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการโรงแรมต่างก็คาดหวังที่จะได้เห็นการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ทางการไทยคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเพียง 100,000 คนภายใต้โครงการแซนด์บ็อกซ์ในไตรมาส 3/64 ดังนั้นเราไม่คาดว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสำหรับโรงแรมระดับลักเซอรี่และระดับอัพสเกลในภูเก็ตจะเพิ่มขึ้นมากนักและอาจคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 20% ต่อไป

        เรียกได้ว่าแม้จะมีนโยบายการเปิดประเทศอย่าง "ภูเก็ต แซนด์บอกซ์" แต่ดูเหมือนว่าธุรกิจการท่องเที่ยวก็ยังคงได้รับผลกระทบอยู่ ตอนนี้การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดก็ยังคงเป็นวัคซีนเช่นเดิม ก็ต้องรอลุ้นต่อไปครับว่าในอนาคตปริมาณการฉีดวัคซีนจะเป็นไปตามเป้าหรือไม่ เมื่อถึงเวลานั้นธุรกิจการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักของประเทศก็น่าจะฟื้นตัวตามไปด้วยฮะ