ขณะที่สถานการณ์หนี้ครัวเรือนดีขึ้น จากแนวโน้มการเติบโตแบบชะลอตัวลงเหลือต่ำกว่า 5% สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ไตรมาสแรกลดลงครั้งแรกในรอบ 3 ปี เหลือ 81.1% ทำให้ผู้บริโภคเริ่มมีความสามารถในการกู้ซื้อบ้านมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากการลงทุนของภาครัฐ ระดับราคาน้ำมันที่ลดลง ทำให้ต้นทุนไม่เพิ่มขึ้น

        “สถานการณ์หนี้ครัวเรือนเริ่มดีขึ้น เชื่อว่ายอดขายอสังหาฯจะดีขึ้นตาม เพราะผู้บริโภคมีความสามารถกู้มากขึ้น ความต้องการซื้อบ้านก็มากขึ้น ขณะที่ความต้องการซื้อยังมีต่อเนื่อง”

        บริษัทจึงปรับแผนโดยเพิ่มการพัฒนาโครงการใหม่ จากต้นปีวางเป้าเปิด 10 โครงการ เพิ่มเป็น 11 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 25,000 ล้านบาท ครึ่งปีแรกเปิดโครงการใหม่แล้ว 5 โครงการ มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท

        ช่วงครึ่งปีหลังเปิดใหม่ 6 โครงการ มูลค่ารวม 14,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 4 โครงการ มูลค่า 5,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้ เป็นแบรนด์ใหม่ 2 โครงการ คือ เดอะเจนทริ สุขุมวิท บ้านหรู 3 ชั้น จำนวน 57 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 20 ล้านบาท ,โครงการเฮดควอเตอร์ส ที่อยู่อาศัยคอนเซปต์ใหม่ สูง 5 ชั้น พร้อมลิฟท์ จำนวน 29 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 28 ล้านบาท

        รวมทั้งโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่า 9,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ ทเวนตี้เอท ชิดลม เป็นคอนโด ลิมิเต็ดคอลเลคชั่นแบรนด์ใหม่ บนถนนชิดลม พื้นที่ 3 ไร่ มูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท คาดราคาขายเริ่มต้นกว่า 3 แสนบาทต่อตร.ม.

 

        และโครงการแชมเบอร์ส เฌอ รัชดา-รามอินทรา แบรนด์ใหม่ พัฒนาเป็นคอนโด โลว์ไรส์ พื้นที่ 4 ไร่ มูลค่า 800 ล้านบาท ราคาตร.ม.ละ 70,000 บาท

 

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ