ช่วงต้นปีแบบนี้เรายังคงได้เสพข่าวเกี่ยวกับผลประกอบการทางธุรกิจของเมื่อปี 2564 อยู่เรื่อยๆ ครับวันนี้เป็นคิวของทางลลิล พร็อพเพอร์ตี้ อีกหนึ่งเจ้าที่เด่นในเรี่องของแนวราบ เรามาดูกันครับว่าเมื่อปีที่แล้วเค้าทำผลงานออกมาได้ดีแค่ไหน
แม้ภาพรวมของตลาดจะไม่สดใสมากนัก มีปัจจัยท้าทายต่างๆ เข้ามามากมาย ตลอดจนภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นทั่วโลก นำไปสู่การที่เฟดเร่งการทำ QE Tapering และนโยบายการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไป ซึ่งผลประกอบในปี 2564 นับว่าเป็นอีกปีที่บริษัทสามารถทำผลงานได้ดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมียอดรับรู้รายได้ทั้งปีที่ 6,589.58 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องติดต่อกันมากว่า 6 ปี แม้ในสถานการณ์ที่ Demand อ่อนตัวลงในขณะที่ต้นทุนการก่อสร้างหลายตัวปรับเพิ่มขึ้น ลลิลยังคงสามารถบริหารจัดการได้ดี ในปี 2564 บริษัทยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 39.1% สูงกว่า Benchmark ของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 31-32%
รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนในการขายและบริหารที่มีประสิทธิภาพ ในปี 2564 ตัวเลขอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ (SG&A/Revenues) ปรับดีขึ้นมาอยู่ที่ 9.1% ส่งผลให้กำไรสุทธิสำหรับปี 2564 อยู่ที่ 1,389.21 ล้านบาท ซึ่งหากเทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติในปีก่อนหน้า เติบโตเพิ่มขึ้น 14.9% โดยมีอัตราส่วนกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 21.1% ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 11%
ซึ่งในปี 2564 ที่ผ่านมาลลิลมีการขยายโครงการใหม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2565 นี้ บริษัทเตรียมขยายโครงการใหม่เพิ่มเติมต่อเนื่องอีก 10–12 โครงการ มูลค่า 7,000 – 8,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินอย่างรัดกุม มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นปี 2564 มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.60 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่า และหากพิจารณาในแง่ของตัวเลขอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E) ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ระดับเพียง 0.22 เท่า ลดลงจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 0.31 เท่า สะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่แข็ง ศักยภาพในการขยายธุรกิจโดยไม่มีปัญหาสภาพคล่อง และความเสี่ยงทางการเงินที่ต่ำโดยเฉพาะในสภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้น
ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติเห็นชอบจัดสรรกำไรสำหรับปี 2564 ให้กับผู้ถือหุ้น โดยเสนอให้จ่ายเงินปันผลรวมทั้งปีในอัตราหุ้นละ 0.63 บาท ซึ่งหากคิดที่ราคาหุ้นปัจจุบัน คิดเป็น Dividend Yield อยู่ที่ระดับราว 5.7% โดยบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วที่ 0.295 บาท ดังนั้นจะเหลือจ่ายเพิ่มเติมอีก 0.335 บาทต่อหุ้น
โดยได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 16 มีนาคม 2565 (หรือขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 15 มีนาคม 2565) และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 13 พฤษภาคม 2565 โดยจะนำเสนอการจ่ายปันผลดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ต่อไป
ปีนี้เตรียมปูเสื่อรอดูโครงการใหม่จากลลิลกันได้เลยว่า 10–12 โครงการ ที่จะเปิดใหม่ในปีนี้จะเป็นโครงการอะไร และทำเลไหนกันบ้าง ต้องรอติดตามกันต่อไปครับผม
Tag : ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ |
“ได้วิวแม่น้ำ สวยขนาดนี้เลยรึนี่?!“ เป็นความรู้สึกของผมตอนที่ขึ้นไปชั้น 38 วิวสวยแบบไม่มีอะไรมาบดบังเลย มีมุมที่เห็นสวนเบญจกิติด้วย
สำหรับผมแล้ว BTS สถานี "ห้าแยกลาดพร้าว" เป็น สถานี Interchange กับ MRT ที่ผมชอบที่สุด และมักจะเป็นทำเลที่ผมแนะนำ ให้คนมาอยู่อาศัยมากที่สุดอันดับต้นๆเลย
มีความท้าทายเล็กๆ กับการเปลี่ยนอดีต ’สถานทูตออสเตรเลีย‘ ให้กลายมาเป็น ‘Luxury Condo’ และ ’Mixed-Use’ ระดับ ’iconic’ ริม ’ถนนสาทร‘
'เกือบหลับ แต่กลับมาได้' จะมีโครงการไหนกันเชียวที่จะเหมาะกับคำนี้ ถ้าไม่ใช่ 'Hyde Riverbay Charoennakorn' (ไฮด์ ริเวอร์เบย์ เจริญนคร)
โครงการใหม่ของ Major ที่แน่มาก แกร่งมาก เพราะไม่หวั่นไหวกับการต้องถูกขนาบข้างโดย Sansiri แบบรั้วชนรั้วเลย!
'dcondo calm Ramkhamhaeng 40' (ดีคอนโด คาล์ม รามคําแหง 40) ก็เป็นอีกโครงการที่ผมบอกเลยว่า คุณจะลืมภาพจำของแบรนด์ดีคอนโดแบบเดิมๆ ไปแทบหมดสิ้น เพราะโครงการนี้ เค้าอยู่ใกล้รถไฟฟ้าถึง 2 สาย ทั้งสายสีส้มและสายสีเหลือง!!!
ไหนใครกำลังจะรีไฟแนนซ์กันบ้าง ใครกำลังผ่อนบ้านอยู่เพลิน ๆ นี่ห้ามลืมเด็ดเลยนะ เพราะหนี้บ้านพอพ้น 3 ปีแรก ดอกเบี้ยจะพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดดเลย
ขออวดว่าผมได้รีวิวหนังสือเล่มนี้ก่อนหนหน้านี้แล้วด้วยนะ อิอิ แต่ที่จริงผมไม่ได้ตั้งใจรีวิวหรอก แต่เป็นคนอ่านหนังสือแล้วชอบ ‘Short Note’ ประโยคดีๆ คมๆ เก็บไว้ แต่ปรากฏว่ามันโดนบาดเยอะมาก จนสามารถเอามาลงในเพจได้เลย
ช่วงนี้ผมชอบเข้าไปดูงานออกแบบของ Foster + Partners บ่อยสุดๆ คือรู้สึกได้เลยว่าเราอินกับสไตล์การออกแบบของเค้ามากๆ ซึ่งถ้าใครไม่รู้ว่าเค้าคือใคร Foster + Partners คือบริษัทที่ออกแบบ Apple Store ตรงเซ็นทรัลเวิลด์ นั่นแหละครับ น่าจะพออ๋อกันขึ้นมาบ้างเนอะ
ยุคนี้ใครเค้าเที่ยวต่างประเทศกัน คนรวยเค้าเที่ยวนอกโลกครับ!
Apple Store นี่ไม่ว่าจะไปเปิดสาขาที่ไหน ก็สามารถกลายเป็นแลนด์มาร์คของที่นั้นๆ ได้ตลอด ล่าสุดเค้าเพิ่งเปิดสาขาใหม่ที่ประเทศมาเลเซีย ไปหมาดๆ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมานี่เอง ซึ่งนี่เป็นสาขาแรกของมาเลเซีย
เดือน 7 กำลังจะผ่านพ้นอีกแล้วนะครับ ตอนนี้อากาศกำลังชุ่มฉ่ำแบบสุด ๆ ไปเลย ซึ่งหลายเดือนที่ผ่านมามีสัญญาณว่าดอกเบี้ยแบบคงที่เริ่มกลับมาแล้วนะ