ทั่วโลกกำลังต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่นอกเหนือจากโรคระบาด นั่นก็คือสงครามระหว่าง รัสเซีย-ยูเครน ซึ่งหลายฝ่ายก็ระบุว่าสงครามครั้งนี้ก่อให้เกิดผลกระทบหนักต่อเศรษฐกิจ ล่าสุดทางด้าน SCG ได้ปรับกลยุทธ์ใหม่ รองรับความท้าทายท่ามกลางสถานการณ์สงครามในครั้งนี้

        SCG เผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจ SCG ประจำปี 2565 ว่า จากสถานการณ์ที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนสูงหลายด้าน ทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 สถานการณ์รัสเซีย ยูเครน ที่ส่งผลต่อต้นทุนพลังงาน และต้นทุนวัตถุดิบในหลายอุตสาหกรรมเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงปัญหาภาวะเงินเฟ้อ ตลอดจนวิกฤตระยะยาวอย่างปัญหาโลกร้อน

        ซึ่ง SCG ได้ทำการเร่งเดินหน้าเพื่อรับมือกับความท้าทายที่เข้ามาได้อย่างทันท่วงที  ได้แก่ กลยุทธ์ระยะสั้น เน้น 1.ปิดทุกความเสี่ยง บริหารต้นทุนพลังงาน และดูแลซัพพลายเชน โดยจัดเตรียมวัตถุดิบให้อยู่ในต้นทุนที่เหมาะสม ทำสัญญาซื้อขายพลังงานล่วงหน้า พร้อมบริหารต้นทุนทางการเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และ 2.ยืดหยุ่นปรับตัวตามสถานการณ์ โดยติดตามสถานการณ์ต้นทุนพลังงาน วัตถุดิบที่สูงขึ้นตามกลไกตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้ทันท่วงที และพยายามให้เกิดผลกระทบกับลูกค้าให้น้อยที่สุด

        ในส่วนของกลยุทธ์ระยะยาว 1.เร่งแนวทาง ESG 4 Plus ในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พัฒนาสินค้าคาร์บอนต่ำ และ 2.ปรับแผนโครงการลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในครึ่งปีแรกของปี 2566 และพิจารณาทบทวนโครงการลงทุนใหม่ที่กระทบกับการใช้เงินในระยะยาว

        ไม่เพียงแต่ SCG เท่านั้น คาดว่าภาคธุรกิจตอนนี้ต้องวางแผนปรับกลยุทธ์หรือแผนสำรองกันเพิ่มมากยิ่งขึ้น รวมถึงกูรูด้านเศรษฐกิจอื่นๆ ก็ออกมาแนะนำแนวทางสำหรับประชาชนทั่วไปที่ต้องเผชิญผลกระทบจากสงคราม ที่แม้ประเทศที่ไม่ได้อยู่ในสงครามหรือใกล้เคียงก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ทางด้านการเงินเช่นกัน