ใครสายซีรีส์แแฟนตาซีฟอร์มยักษ์ ต้องบอกว่าช่วงครึ่งปีหลังนี่คือสวรรค์จริงๆ ครับ เพราะแพลตฟอร์มสตรีมมิงทั้งหลายจ่อคิวฉาย original content ของตัวเองชนิดไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ
ฝั่ง HBO Go มี "House of the Dragon" ด้าน Amazon Prime Video มี "The Lord of the Rings: The Rings of Power" ส่วนทาง Netflix ส่ง "The Witcher: Blood Origin" เข้าสู้ ตบท้ายด้วย "Willow" จาก Disney+ จ่ายเงินซับกันไม่หวาดไม่ไหว
แต่เรือธงแฟนตาซีที่ดูจะยิ่งใหญ่สุดผมคิดว่าตอนนี้หนีไม่พ้นแฟรนไชส์ที่ส่งมาเพื่อชนกันโดยเฉพาะ ระหว่าง "House of the Dragon" และ "The Rings of Power" ซึ่งทั้งสองเรื่องล้วนแต่เป็น prequel ของสองผลงานสุดอลังการที่ต่อให้ไม่เคยดูก็ต้องเคยผ่านตามาบ้าง อย่างซีรีส์สุดเข้มข้นที่ใครต่อใครก็ติดงอมแงม "Game of Throens" และหนังไตรภาคในความทรงจำ "The Lord of the Rings"
"House of the Dragon" ได้ฤกษ์ฉายก่อน "The Rings of Power" ก็จริง แต่เรื่องหลังนี่ปล่อยมาทีเดียว 2 อีพี ถือว่าทันกันพอดีไปอีก ดังนั้นผมผู้เป็นแฟนเรื่องหลักของทั้งสองเรื่องจึงไม่พลาด หลังจากได้ดูแล้วก็ต้องนำมาบอกเล่าเปรียบเทียบความดีงามกันเสียหน่อย
สำหรับ "House of the Dragon" เป็นเรื่องราวที่เล่าถึงช่วง 172 ปีก่อนที่ "แดเนริส ทาร์แกเรียน" แม่มังกรแห่ง Game of Thrones จะถือกำเนิด เนื้อหาจะโฟกัสไปที่ตระกูลทาร์แกเรียนที่ครองบัลลังก์เหล็กและปกครองเวสเทอรอสมายาวนาน 300 ปี เป็นตระกูลสุดแกร่งที่ไม่มีใครโค่นได้ ยกเว้นก็แต่คนในตระกูลเดียวกันเอง เลือดข้นคนจางฉบับเวสเทอรอสของแท้
ส่วน "The Rings of Power" จะย้อนกลับไปไกลกว่านั้นมาก อย่างน้อย 4,900 ปี เป็นยุคที่เคเลบริมบอร์สร้างแหวนแห่งอำนาจขึ้นมาก่อนจะกลายเป็นสงครามระหว่างเหล่าเอลฟ์และเซารอน ซึ่งถ้าย้อนกลับไปดู "The Lord of The Rings" ช่วง 5 นาทีแรกเราจะเห็นซีนที่กาลาเดรียลพูดถึงแหวน 20 วง แต่ละวงตกไปอยู่ในมือใครบ้าง ซึ่งในซีรีส์ก็จะหยิบตรง 5 นาทีนั้นมาขยายความนั่นเองครับ
ถามว่าคนที่ไม่เคยดูภาคหลักมาก่อนแล้วมาลองดูตัว prequel นี้จะงงมั้ย ส่วนตัวผมลองลบภาพความทรงจำเก่าๆ ทิ้งไปก็รู้สึกว่าดูได้ไม่เป็นปัญหานะ แต่ถ้าเป็น "The Rings of Power" อาจจะยากกว่านิด
นั่นเพราะเมื่อเทียบกัน "House of the Dragon" จะเล่าในสเกลที่แคบกว่า คือพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตระกูลหลักอย่างตระกูลทาแกเรียนตระกูลเดียว ในขณะที่ "The Rings of Power" มีสเกลกว้างกว่า (มาก) และมีเผ่าพันธุ์รวมทั้งดินแดนแปลกๆ มากมาย ทั้งเอลฟ์ คนแคระ มนุษย์ ออร์ก ฮาร์ฟุต aka ต้นตระกูลฮอบบิท
ดังนั้นส่วนตัวผมมองว่าใน 2 อีพีแรกของ "The Rings of Power" จะเสียเวลาไปกับการปูเรื่องมากกว่า "House of the Dragon" ถ้าใครมีเวลาอาจดูไตรภาค "The Lord of The Rings" ก่อนเป็นการปูพื้นฐานก่อนก็เข้าท่าเหมือนกันครับ
ในเรื่องของความสนุก อาจเพราะ "The Rings of Power" สเกลกว้างกว่า พูดถึงเผ่าพันธุ์ที่หลากหลาย ดังนั้นจึงมีพล็อตยิบย่อยเยอะ อาจจะทำให้คนดูมือใหม่ที่ไม่ได้ตามหนังสืออินได้ง่ายกว่า ทว่าแฟนๆ โทลคีนอาจไม่ค่อยพอใจเพราะมันเหมือนเอาแฟนฟิคชั่นมาทำซีรีส์ยังไงยังงั้น มีส่วนที่แตกต่างจากหนังสือไปเยอะมาก แต่ก็วางใจได้ว่าโปรดักชันอลังการเหมือนหนังมากกว่าจะเป็นซีรีส์ ที่สำคัญคืออยู่ในหมวด Adventure ปลุกจินตนาการและสามารถดูกับคนในครอบครัวได้
ในขณะที่ "House of the Dragon" แม้จะยังคงซิกเนเจอร์กลิ่นอายแบบ Game of Thrones เอาไว้ (ความโหดเลือดสาด ฉากวาบหวิบต่างๆ นานา และที่สำคัญคือมังกรมากมาย) แต่ซีรีส์เรื่องนี้จะเน้นไปที่เกมการเมืองมากกว่าครับ มีฉากโหดๆ อยู่แต่โดยมากก็จะเป็นการโต้คารมกันเสียเยอะ การวางแผนชิงอำนาจ ใครที่ชอบแนวการเมืองๆ จะรู้สึกสนุกมาก เหมือนดูลิเกราชวงศ์เลือดข้นมังกรจาง 5555
ในแง่ตัวละคร ผมว่าคนที่รักผลงานเรื่องหลักของทั้งสองเรื่องน่าจะรู้สึกอิ่มเอมใจ เพราะเวลาดูแล้วได้ยินชื่อคุ้นหูเราจะตื่นเต้นมากเหมือนได้เจอเพื่อนเก่า โดยเฉพาะใน "House of the Dragon" ที่จะมีชื่อตระกูลที่มีบทบาทสำคัญใน Game of Thrones ถูกเมนชั่นถึงบ่อยๆ และตัวละครใหม่ก็ตกคนดูได้ง่าย
bอย่างตัวเอกเจ้าหญิงเรเนียราที่น่าจะเป็นขวัญใจสาวๆ ทั้งหลาย ฝั่งผู้ชายก็น่าจะชอบหญิงงามแห่งเวสเทอรอสอย่างแอลิเซนต์ ไฮทาวเวอร์ ใน Game of Thrones มี "นิ้วก้อย" ปีเตอร์ เบลิช งั้นใน House of the Dragon ผมก็ขอยกอ็อตโต้ ไฮทาวเวอร์ ให้เป็น "นิ้วกลาง" ก็แล้วกันครับ แต่ตัวละครที่ดูจะทำให้คนดูทั้งรักทั้งชังแถมยังขโมยซีนได้มากที่สุดน่าจะเป็นเจ้าชายเดมอน ทาร์แกเรียน คนนี้ของจริง
ทางด้าน "The Rings of Power" เพราะไทม์ไลน์มันย้อนไประดับหลายพันปี ตัวละครที่เราคุ้นเคยคงหนีไม่พ้นเผ่าพันธุ์ที่มีอายุยืนยาวอย่างเผ่าพันธุ์เอลฟ์ กาลาเดรียลและเอลรอนด์ที่เป็นตัวเอกในซีรีส์นี้ แต่เอาเข้าจริงแคสเอลฟ์ไม่น่าพอใจนักเมื่อเทียบกับสองภาคก่อนหน้า เพราะอันนั้นเหมือนจ้างเอลฟ์มารับบทเอลฟ์จริงๆ ส่วนเรื่องนี้ดูยังมีความฝืนๆ อยู่ และนอกนั้นก็เป็นตัวละครใหม่ทั้งหมด (แต่แพลตฟอร์ม Amazon Prime Video มันดีตรงที่มีหน้าแนะนำตัวละครให้นี่แหละ เผื่อใครงง)
ส่วนตัวผมมองว่า 2 อีพีแรกของซีรีส์แฟรนไชส์ทั้งสองเรื่องทำได้ดีมากในแง่ของการทุ่มทุนสร้างและอลังการสุดๆ ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปหากลิ่นอายที่คุ้นเคยอีกหน วันจันทร์ออกผจญในเวสเทอรอส วันศุกร์ไปต่อที่มิดเดิลเอิร์ธ เดินทางบ่อยเลยช่วงนี้ 555
สำหรับ "House of the Dragon" จะมีด้วยกันทั้งหมด 10 อีพี ฉายทาง HBO Go ส่วน "The Rings of Power" มี 8 อีพี และฉายทาง Amazon Prime Video ครับผม
ยังไงช่วงรอซีรีส์ฉายตอนต่อไปผมคงต้องไปลงคอร์สฝึกภาษาวาลีเรียนกับภาษาซินดารินแล้วละครับ เดี๋ยวสื่อสารกับสองอาณาจักรไม่รู้เรื่อง
Tag :
จะมีสักกี่คอนโดที่ยอมปรับรูปแบบโครงการตามใจลูกค้า กับคอนโด Freehold บน ถ.พระรามสี่-สาทร พร้อมฟังก์ชั่นใหม่ 2 BR ราคาสมเหตุผลบนทำเลติดถนนใหญ่
"สาทร" เป็นชื่อทำเลที่ทุกคนต้องรู้จักอย่างแน่นอน เพราะนี่คือ CBD ของกรุงเทพอย่างแท้จริง อุดมไปด้วยแหล่งทำงานมากมาย ตึกสูง ออฟฟิศต่างๆ แทบจะเต็มพื้นที่ไปทุกอณู ทุกตารางนิ้วมีค่าดั่งทอง
"The Crest Park Residences" คอนโดในฝันของใครหลายคนที่ชื่นชอบ ทำเลลาดพร้าว+ความลักซ์ชัวรี่ ที่เปิดขายพรีเซลเมื่อราว 2 ปีก่อน ตอนนี้สร้างเสร็จ พร้อมเข้าอยู่ได้แล้วนะ
ความเป็นคอนโดคูลๆ อ่ะเนอะ พอ Sold out ไปแล้วจะปล่อยให้เสียเวลาไปทำไม ปล่อยเฟสใหม่สิคร้าบบบบ
ผ่านปีใหม่มาไม่ทันไร มีโอกาศได้ไปกระทบไหล่ทำเลโครงการจากออริจิ้นอีกแล้ว ครั้งนี้เป็นทำเลขวัญใจคุณหมอละบุคลากรจากศิริราชมั๊กๆ กับโครงการ So Origin Siriraj (โซ ออริจิ้น ศิริราช) นั่นเอง จริงต้องบอกก่อนนิดนึงว่าโครงการนี้เค้าเป็น New project launch ของปีที่แล้วนะครับ แต่เพิ่งมาล้อมรั่วเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง
ความรู้สึกแรกของผมตอนยืนอยู่ในโครงการ "FYNN Asoke" คือ...เหมือนไม่ได้อยู่อโศก!
คริสปี้ ครีม เค้ามีเมนูใหม่อีกล้าววว เป็นเมนูที่ออกมาต้อนรับวาเลนไทน์ กับ "LOVE BETTER PERFECT TOGETHER" ให้วาเลนไทน์นี้ไม่มีเหงาเพราะเรามาเป็นคู่ กับเครื่องดื่ม 2 เมนูใหม่
ใกล้จะวาเลนไทน์แล้วสินะ!! เทศกาลแห่งความรักแบบนี้ เตรียมของวัญให้หวานใจกันได้หรือยังเอ่ยยยย ถ้าคิดไม่ออกเลี้ยวมาที่คริสปี้ ครีม เลยครับ เค้าออกโดนัทหน้าใหม่ ฉลองเทศกาลแห่งความรักกับ “วาเลนไทน์ โดนัท” ด้วยโดนัทรูปหัวใจสุด Cute!!
รู้หรือไม่ว่าเราสามารถขายบ้านเก่า ซื้อบ้านใหม่ แล้วยังสามารถขอคืนภาษีได้ด้วย แบบนี้มันสามารถช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ขนาด Sales Gallery “Kave Town” ยังออกแบบให้ดาดฟ้า มีคนเช่าทำร้าน “หมูกระทะ” ได้ ผมกับบีชอบมาก ยังพูดแซวๆว่า ขายโครงการหมดไวดีนัก แบ่งพื้นที่ทำร้านซะเลย
บอกตามตรงว่า ‘ตกใจ’ กับยอดขาย 90% ของ ‘The Origin Plug&Play รามอินทรา’ และเป็นของ 6 ตึกที่ยังสร้างไม่เสร็จด้วยนะ ซึ่งนับว่าหายอดขายแบบนี้ได้ยากแล้วในยุคนี้
เลือกปักธงที่ “หาดใหญ่” นะครับ ถิ่นคุ้นเคยของ dcondo ที่ Sold out ขายหมดเกลี้ยงทั้ง 2 โครงการเรียบร้อย!!