พอดีมีโอกาสได้แวะเข้าไปชมโครงการใหม่ของทาง Pruksa
เลยเขียนรีวิวมาให้อ่านกัน เผื่อคนที่สนใจจะได้มีข้อมูลเพิ่มเติมครับ
Chapter One Eco รัชดา-ห้วยขวาง พัฒนาโดยทีม Stylish Residence ของ Pruksa นั่นละครับ
เท่าที่ผมสังเกต
โครงการที่พัฒนาโดย Stylish Residence มีการออกแบบที่ต่างจากโครงการทั่วไปของ Pruksa แหะ
มันดูสวยหรูแบบเรียบๆ ซึ่งผมชอบนะ
สไตล์ของ Chapter One Eco รัชดา-ห้วยขวาง ก็เช่นกันครับ
ยังคงกลิ่นอายเหมือนของโครงการรุ่นพี่ๆเขา
มันดูไม่มากไม่น้อยเกินไปดี
Chapter One Eco รัชดา-ห้วยขวาง เป็นคอนโด High rise 8 อาคาร มียูนิตพักอาศัย 1907 ยูนิต และมียูนิตร้านค้า 7 ยูนิต บนที่ดินขนาด 13 ไร่นิดๆ
ร้านค้ายังไม่ทราบว่าเป็นอะไรบ้างนะครับ ไว้ผมทราบแล้วมาอัพเดทให้อีกทีนะ
อาคารจอดรถแยกต่างหาก 2 อาคาร
อาคารจอดรถแบบแตกอาคารไปเลยนี่บางคนก็ชอบนะครับ
อาจเพราะดูเป็นสัดส่วน ดูแลง่ายก็ได้
แต่สำหรับผมแล้ว ชอบแบบจอดใต้อาคารแหะ ขนของสะดวกดีครับ
อาคารจอดรถสามารถจอดรถได้ประมาณ 700 คัน หรือเกือบๆ 40%
ตอนใช้งานจริง คงต้องบริหารกันดีหน่อย
โครงการทยอยขายเป็นรอบๆไปนะครับ
คราวนี้เปิดขายแต่ 3 อาคารก่อน ราวๆ 700 ยูนิตได้
โครงการมีแบบห้องแค่ 2 แบบเท่านั้น
เป็น Studio ขนาด 22.57-23.65 ตร.ม. และแบบ 1 Bed ขนาด 29.27-36.53 ตร.ม.ครับ
โครงการ Chapter One Eco รัชดา-ห้วยขวาง วางตัวอยู่ที่ ถ.ประชาอุทิศ ห้วยขวาง
ใกล้ๆกับสำนักงานเขตห้วยขวาง
สามารถทะลุออกแยกเหม่งจ๋ายได้ (ของกินเพียบ)
รถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดคือ MRT สถานีห้วยขวาง ระยะราวๆ 1.4-1.5 ก.ม.
ระยะขนาดนี้ก็คงเดินไม่ได้แน่ๆแหละครับ
นอกจากอยากเดินออกกำลังกาย ในวันที่ฟ้าเป็นใจ
แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องการเดินทางนะ ถนนนี้มีพี่วินมอเตอร์ไซค์เพียบเลยครับ
ทั้งต้นถนนจนไปถึงด้านใน
ตรงข้ามโครงการก็มีพี่วินอยู่ด้วย ซาบาย!!
Taxi ก็ค่อนข้างเยอะทีเดียว เรียกง่าย
ถ้าประหยัดหน่อย ก็มีรถแดงวิ่งผ่านไปมาด้วยครับ วิ่งจากห้วยขวางไปออก วัดเทพลีลา โน้นเลย
ไปไกลเหมือนกันวุ้ย
ฉะนั้นเวลาไปไหนก็คงไมลำบากเท่าไร
และตัวโครงการเอง ก็มี Shuttle Bus ไว้คอยรับส่งถึง MRT สถานีห้วยขวาง ด้วย
ส่วนในอนาคตจะมีไปอีกกี่ปี ก็ต้องขึ้นกับ นิติบุคคล ของโครงการด้วยนะครับ
สำหรับอาหารการกินแถวนั้น ค่อนข้างสบายพุงเลยละ
ตลอดถนนก็มีร้านอาหารแทรกตัวอยู่เป็นระยะ
7-eleven , Family Mart เปิดสาขากันแทบจะทุก 1-200 ม.เลย
บ่งบอกถึงปริมาณคนอยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี
เบื่อๆ อยากจะไปเดินห้างหนีร้อน แถวนั้นก็มีห้างเยอะ
ไม่ว่าจะเป็น Central พระรามเก้า , Esplanade , Big C Extra
และที่ผมชอบเป็นพิเศษเลยคือ The Street
เพราะมีร้านค้าไว้บริการ 24 ช.ม. เวลาดึกๆรู้สึกเหงาๆ ก็ยังมาหาร้านนั่งที่นี่ได้
ฉะนั้นในแง่ไลฟ์สไตล์ แถวนี้ถือว่าสะดวกดีครับ
อีกจุดหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็น "ไฮไลท์" ของโครงการนี้ก็คือ ส่วนกลาง
นอกจาก "ความหลากหลาย" แล้ว ยังนำความเป็น Eco เข้ามาเป็นส่วนประกอบด้วย
ส่วนกลางที่มีความหลากหลายนั้น ควบคุมต้นทุนในการก่อสร้างยากนะครับ
การที่คุณจะสร้างสระว่ายน้ำขนาดใหญ่มากๆ มันง่ายกว่าการที่ไปสร้างอะไรอย่างอื่นขนาดเล็กๆ หลายๆอย่าง
ซึ่งโครงการนี้ ถือว่าค่อนข้างให้มาครบทีเดียวเลยล่ะ
ทั้ง สระว่ายน้ำ, Fitness, Co-Working Space, Home Theater, Jogging Track, Street Basketball, Bike Club, Reading Room ฯลฯ
นี่ยังเขียนไม่หมดเลย!!!!
สำหรับความเป็น Eco บางทีฟังแล้วก็ "แค่ดูดี"
แต่จริงๆ มันมีผลต่อการใช้ชีวิตของเรามาก
การติดตั้งโซล่าร์เซลในโครงการ และการใช้หลอดไฟ LED ทำให้โครงการประหยัดค่าไฟไปถึง 22% (ประเมินคร่าวๆ )
แค่นี้ก็มีผลต่อกระเป๋าตังค์ของเรา(ตอนอยู่จริง)โดยตรงแล้ว
ซึ่งในส่วนนี้ผมว่ามีส่วนทำให้โครงการมีความ "น่าอยู่อาศัย" จริงๆ
แบบห้องของที่นี่ อย่างที่ผมบอกไปว่า จะมีแค่ 2 แบบเท่านั้น คือแบบ Studio และ 1 Bedroom
สะท้อนว่า Pruksa ต้องการเจาะตลาด คนที่อยู่คนเดียว , ครอบครัวขนาดเล็ก และ นักศึกษา ที่มีงบประมาณไม่สูง และอยากอยู่แถวนั้น
ซึ่งผมว่า เหมาะดีนะครับ
แถวนั้นยังมีความต้องการอยู่อาศัยจากคนกลุ่มที่ว่า ไม่น้อยเลยละ
และเมื่อเน้นห้องขนาดเล็ก ราคาก็โดยรวมก็เลยถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่คนรับได้
ประมาณ 2-3 ล้านบาท
ห้องอาจจะเล็กกว่าที่อื่นนิดหน่อย แต่ก็แลกกับความใหม่ ส่วนกลางต่างๆ ก็ถือว่าคุ้มนะ
เอาล่ะ
สำหรับการอยู่อาศัยเองก็ถือว่าข้อมูลน่าจะเพียงพอแล้วเนอะ
มาดูกันต่อในแง่การลงทุนกันดีกว่า
กับราคาห้องเริ่มต้น 1.99 ล้านบาทสำหรับห้องขนาด 22.57 ตร.ม.
หารแล้วก็ตก 8 หมื่นปลายๆต่อตร.ม.
ถ้าถามผมว่า แรงไหม?
ผมก็คงต้องบอกว่าแรงอยู่ แต่ก็เป็นการแรงตามกาลเวลานะ
คือโดยธรรมชาติ ราคาอสังหามันจะเพิ่มขึ้นทุกปีอยู่แล้ว มากน้อยเท่านั้นเอง
ที่ดินก็คืออสังหาที่มีราคาทะยานขึ้นทุกปีเช่นกัน
ฉะนั้น จะให้คอนโดที่เปิดทีหลังราคาถูกกว่าโครงการเก่าๆ ก็คงเป็นไปได้ยาก
ซึ่งผมลองหาข้อมูลจากคอนโดในระยะใกล้เคียงแล้ว
ไม่ต้องไปไหนไกล
U Delight ที่อยู่ตรงข้ามโครงการเลยนี่แหละ
ราคาที่ขายต่อกันตอนนี้ จะอยู่ที่ประมาณเกือบ 8 หมื่นบาท/ตร.ม.
จากตอนเปิดขายที่ประมาณ 5 หมื่นกว่าบาท/ตร.ม.
Supalai ที่อยู่ใกล้ๆ ราคาก็ประมาณ 7 หมื่นกว่าบาท/ตร.ม.
เรียกได้ว่า ราคามันเป็นไปตามกาลที่เปิดขาย
ส่วนพวกโซนใกล้สถานี ราคาส่วนใหญ่ตอนนี้จะไปอยู่ที่ 1.2 แสนบาท/ตร.ม.กันละ
ฉะนั้น ผมก็รู้สึกว่า ราคาของที่ Chapter One ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ "รับได้นะ"
โดยรวมๆเท่าที่ผมหาข้อมูลมา สำหรับระยะยาว
ราคาทุกโครงการมีการขยับขึ้นมาหมด 20-50% นับจากตอนเปิดขาย
แม้จะต้องยอมรับว่า มีการชะลอตัวของราคาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
แต่ผมยังเชื่อว่า ในระยะยาว โอกาสที่ขายขาดทุน มีน้อยมากครับ
สำหรับการปล่อยเช่า
โซนนั้นมีการปล่อยเช่าที่ราวๆ 10,000-16,000 บาท/เดือน สำหรับห้องขนาดประมาณ 30 ตร.ม.
ขึ้นอยู่กับความเก่าใหม่ของโครงการ
ถ้าเราต้องการผลตอบแทนที่ 5-6% สำหรับห้องขนาด 25 ตร.ม.
สมมติว่าราคา 2.5 ล้านบาท เราจะต้องการค่าเช่าที่ราวๆ 13,000 บาท/ตร.ม.
ก็น่าจะเป็นไปได้ใช่ไหม?
ดังนั้น จากความต้องการที่อยู่ที่ยังดีอยู่
ผมเชื่อว่า ไม่น่ามีปัญหากับการปล่อยเช่าครับ จะเหมาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณอยู่ไม่ไกลจากแถวนั้น
อ่อ เกือบลืม สำหรับการเล่นสั้น
ผมขอแนะนำสั้นๆว่า
ถ้าคุณไม่ชำนาญพื้นที่แถวนี้ละก็ ผมว่าอย่าดีกว่าครับ
สรุปตามสไตล์คอนโดติดดอย
สำหรับการอยู่เอง เหมาะกับคนที่ทำงานหรือเรียนแถวนั้น แม้ว่าห่างรถไฟฟ้าสักหน่อย แต่ก็แลกมาด้วยราคาที่ถูกกว่าเช่นกัน และมีความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวันอยู่พอควร ด้วยห้าง ร้านค้ามากมายที่กระจายกันอยู่ในโซน
สำหรับการเล่นสั้น ไม่อยากแนะเท่าไร ด้วยจำนวนยูนิตที่เยอะ อาจจะมีการแย่งกันขายทั้งจากโครงการเองและนักลงทุน ทำให้ถึงแม้ว่าจะขายได้ ก็อาจได้กำไรไม่มากนัก
สำหรับการปล่อยเช่า มีความต้องการที่อยู่อาศัยอยู่พอสมควร จึงไม่น่าหาคนเช่ายาก ผลตอบแทน Yield ประมาณ 5% ถ้าเราอยู่แถวนั้นอยู่แล้ว สะดวกในการดูแล ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกหนึ่งครับ
สำหรับการเล่นระยะยาว ต้องยอมรับว่า ด้วยความที่ห่างจากรถไฟฟ้าอยู่พอควร ราคาก็คงขึ้นสู้พวกติดถนนใหญ่แนวรถไฟฟ้าไม่ได้ คงไม่ได้กำไรเท่าไร แต่ไม่ขาดทุนครับ
Chapter One Eco รัชดา-ห้วยขวาง เป็นโครงการที่ หาคนเช่าไม่ใช่ปัญหา ไม่เหมาะกับเล่นสั้น อยู่เองดี เก็บยาวไม่ขาดทุนครับ
สำหรับผู่ที่สนใจ คลิกลงทะเบียนที่ลิงค์ข้างล่างได้เลยจ้า
นึกถึงลงทุนคอนโด นึกถึงคอนโดติดดอย ^0^