ช่วงนี้ "ตลาดกลางคืน" มีขึ้นเยอะทั่วกรุงเลย ซึ่งจริง ๆ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางออกของ "เจ้าของที่ดิน" ที่ไร้แผนพัฒนานะ นอกจากจะสร้างรายได้ระยะสั้นได้ดี ยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องภาษีที่ดินสำหรับที่ดินรกร้างว่างเปล่าด้วย

        โดยพบว่า ขณะนี้ มีที่ดินหลายแปลงที่กลายเป็นตลาดกลางคืนแล้ว นอกเหนือจากข่าวใหญ่ ที่ว่า “ตลาดจ๊อดแฟร์” จะเปิดให้บริการใหม่ในพื้นที่ ที่เคยเป็น “แดนเนรมิต” เดิม หลังจาก พื้นที่ 33 ไร่ที่ว่า ปิดให้บริการไปตั้งแต่ปี 2543 

        ใกล้เคียงกัน ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน “ตลาดกรีนวินเทจ” ก็เพิ่งเปิดให้บริการทุกวันเสาร์ตรงที่ดินว่างหัวมุมสี่แยกรัชโยธิน

        “ตลาดเฟิร์สวัน” บนถนนรัชดา - ท่าพระ บนที่ดินที่เป็นของแสนสิริก็เพิ่งเปิดไม่นานมานี้

        “ตลาดจ๊อดแฟร์ รัชดา” ซึ่งจะเป็นความร่วมมือระหว่างผู้บริหาร “ตลาดจ๊อดแฟร์” และพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ก็กำลังจะมาในปีนี้

        ยังไม่นับตลาดกลางคืนที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ ทั้ง “ตลาดจ๊อดแฟร์” ตรงสี่แยกพระราม 9 ซึ่งน่าจะเป็นตลาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในตอนนี้ 

        “ตลาดกรีนวินเทจ รัชดาฯ” ด้านหน้าเดอะสตรีท รัชดา และ “ตลาดวันรัชดา” หรือตลาดนัดรถไฟเก่าด้านหลังเอสพลานาด

        “ตลาดหัวมุม” บนถนนเกษตร-นวมินทร์ และ “ตลาดรถไฟ ศรีนครินทร์” บนถนนศรีนครินทร์ก็เป็นตลาดที่ได้รับความนิยมเช่นกัน 

        “ตลาดอินดี้ ดาวคะนอง” และ “ตลาดอินดี้ ปิ่นเกล้า” ตลาดกลางคืนที่คึกคักมากในช่วงที่ผ่านมา หรือ “ตลาดอินดี้ กัลปพฤกษ์” ซึ่งอาจจะไม่คึกคักเมื่อเทียบกับทั้ง 2 ตลาดข้างต้น แต่ก็มีร้านค้า และคนเยอะพอสมควร

        “ตลาดสายใต้เซ็นเตอร์” ก็เป็นอีกตลาดที่มีขนาดใหญ่ ร้านค้าเยอะมาก

        นายสุรเชษฐ์ ยังกล่าวว่า ในข้อเท็จจริงแล้ว ยังมีอีกหลายตลาดที่เป็นตลาดกลางคืน และยังมีตลาดกลางวันที่ปรับรูปแบบจากตลาดสดมาเป็นตลาดที่ขายทั้งของสด และอาหาร ผสมผสานกับร้านอาหารชื่อดัง มีรูปแบบที่ทันสมัย สะอาดสะอ้าน ไม่เปียกแฉะ

        ในปริมณฑล เช่น นนทบุรี ก็มี “ตลาดนกฮูก” บนถนนเลี่ยงเมืองนนทุบรี แต่เท่าที่ลองค้นหาดูตลาดกลางคืนส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพมหานคร ในทำเลที่ดีๆ แทบทั้งนั้น

        ทั้งนี้ ตามกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ปี 2566 ระบุไว้ว่า...กรณีมีที่ดินเปล่าแต่ปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ ไม่ได้ใช้ทำเกษตรกรรม ไม่ได้ปลูกสร้างอาคาร หรือใช้ประกอบกิจการใด ๆ จะถูกจัดเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ซึ่งเป็นกลุ่มที่เสียภาษีแพงที่สุด คือ เพดานสูงสุด 3% 

        โดย หากเจ้าของที่ดินปล่อยรกร้างไว้นานติดต่อกัน 3 ปี เมื่อไปเสียภาษีในปีที่ 4 จะถูกเก็บเพิ่มอีก 0.3% และจะเพิ่มอัตราภาษีอีก 0.3% ในทุก ๆ 3 ปีที่ปล่อยที่ดินทิ้งไว้โดยไม่นำมาทำประโยชน์อะไร แต่โดยรวมทั้งหมดแล้วจะเก็บภาษีได้ไม่เกิน 3% ซึ่งเป็นเพดานสูงสุด