ชีวิตนี้จะมีสักกี่ครั้งเชียวที่เราจะดีใจกับการที่ได้เป็นหนี้ 5555

        ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยผ่านประสบการณ์นี้กันมาครับ นั่นก็คือการดีใจที่ได้เป็นหนี้ หลังจากที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อบ้านจากธนาคารนั่นเอง

        ช่วงแรกมือใหม่ที่เพิ่งผ่อนบ้านก็อาจจะดีใจกันเนอะ แต่ผ่อนไปนานๆ เจอดอกเบี้ยบานๆ ชักยิ้มไม่ออกซะแล้วสิ!!

        จริงๆ ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนเกี่ยวกับการแก้ปัญหาการผ่อนบ้านให้ดอกถูกลงอย่างการ 'Refinance' (รีไฟแนนซ์) มาแล้ว

        แต่นอกจากการ 'Refinance' ชาวผ่อนบ้านยังมีทางออกอีกอย่างก็คือการ 'Retention' (รีเทนชั่น) นั่นเองครับ 

        เอ๊ะ!! แล้วการ 'รีเทนชั่น' กับการ 'รีไฟแนนซ์' นี่มันต่างกันยังไงนะ?

        อธิบายง่ายๆ ครับ 'รีไฟแนนซ์' คือการย้ายไปขอสินเชื่อกับธนาคารใหม่ เพื่อให้ได้ดอกเบี้ยที่ถูกลงกว่าเดิม แต่ 'รีเทนชั่น' คือ การขอลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับธนาคารเดิมนั่นเอง

        Retention คืออะไร

        ขอมาขยายความเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ 'รีเทนชั่น' สักเล็กน้อย การรีเทนชั่น คือการที่เราเข้าไปเจรขาต่อรองกับธนาคารเดิมเพื่อขอลดดอกเบี้ย หลังจากผ่อนครบไปแล้ว 3 ปี ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเราสามาถ เข้าไปขอลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลงได้นะ (โดยปกติธนาคารมักจะให้ดอกเบี้ยต่ำใน 3 แรก)

        ข้อดีของการ Retention 

        เนื่องจากการรีเทนชั่นเป็นการทำเรื่องกับธนาคารเดิมที่เราขอสินเชื่อ ดังนั้นขั้นตอนการเตรียมการจึงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการ 'รีไฟแนนซ์' เพราะเราไม่จำเป็นจะต้องยื่นเอกสารใหม่ๆ  เพียงแค่เตรียมสัญญาเงินกู้ บัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน ที่สำคัญคือการ 'รีเทนชั่น' มักจะได้รับการอนุมัติไว แถมมีค่าธรรมเนียมต่ำเพียง 1-2%ของยอดกู้เท่านั้น 

        ข้อเสียของการ Retention 

        แต่!! การรีเทนชั่น ก็ทำให้เราได้อัตราดอกเบี้ยลดลงเพียงแค่เล็กน้อย ซึ่งโดยส่วนมากจะอยู่แค่เพียง 0.25-0.50% ซึ่งน้อยกว่าการรีไฟแนนซ์ครับ

        สรุป

        การ 'รีเทนชั่น' คือการเข้าไปเจรจาต่อรองขอลดดอกเบี้ยกับธนาคารเดิม ข้อดีคือไม่ต้องเตรียมเอกสารเยอะ ได้รับการอนุมัติไว ค่าธรรมเนียมต่ำ แต่จะได้อัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าการรีไฟแนนซ์

        ขั้นตอนในการขอ Retention 

        1. เตรียมเอกสารต่างๆ ได้แก่ สัญญาเงินกู้ ทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน

        2. เข้าไปติดต่อทางธนาคารเพื่อขอเจรจาต่อรองลดอัตราดอกเบี้ย กับธนาคารที่เราทำการผ่อนชำระบ้านอยู่ปัจจุบัน

        3. รอผลการพิจารณาอนุมัติ

        4. ชำระค่าธรรมเนียม ซึ่งอาจจะต้องเล็กน้อยประมาณ 1-2% ของวงเงินกู้

        สำหรับสายผ่อนบ้านแต่ละคน อาจจะกำลังศึกษาเรื่องนี้กันอยู่ อยากบอกว่าระหว่างการ Retention และการ Refinance นั้นมีประโยชน์และข้อดีข้อเสียที่ต่างกันไป ให้ลองพิจารณาตามความเหมาะสมกับตัวเองเพราะทั้งสองวิธีถือว่าเป็นวิธีที่มีประโยชน์ทั้งคู่ครับ 

        แต่ถ้าให้แนะนำ อยากแนะนำให้ลองเจรจาขอ Retention กับธนาคารเดิมก่อนตัดสินใจ Refinance นะครับ เพราะเราอาจจะได้รับข้อเสนอที่น่าพึงพอใจและถูกใจเรากว่าก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเตรียมเอกสารและค่าธรรมเนียมในการ Refinance อีกด้วย