เข้าเดือนใหม่ทั้งทีหมีก็ได้เวลามาทำตามสัญญา หลังจากต้นเดือนกุมภาฯ ที่ผ่านมาหมีชวนทุกคนไปดูแอนิเมชัน 7 เรื่องแรกของ Ghibli Studio ที่ได้ลงตรีมมิงแพลตฟอร์มอย่าง Netflix กันไปแล้ว ตอนนี้ก็ถึงคิวของอีก 7 เรื่องต่อมาเสียที
ย้ำกันอีกหนว่าหลังจากตั้งหน้าตั้งตารอกันมานาน ในที่สุด Netflix ก็สามารถคว้าเอาภาพยนตร์แอนิเมชันจากสตูดิโอจิบลิมาลงฉายได้สำเร็จ (ยกเว้นเรื่อง Grave of the Fireflies หรือ สุสานหิ่งห้อยที่ติดสัญญา) ทำเอาแฟนๆ ชื่นมื่นกันถ้วนหน้า เพราะงานนี้ได้ดูผลงานเรื่องเยี่ยมกันแบบชัดตาแตกไปเลย
เอาเป็นว่าเข้าเดือนมีนาฟ้าใหม่ทั้งที หมีจะพลาดได้ไง
เพราะงั้นก็ถึงเวลามารีวิวภาพยนตร์แอนิเมชันค่ายจิบลิ 7 เรื่องประจำเดือนมีนาคมกันบ้างแล้วตามสไตล์หมีจิบลิ อิอิ
ส่วนใครเพิ่งเข้ามาอ่าน อยากกลับไปอ่านรีริววหมีๆ ของ 7 เรื่องก่อนหน้าที่ลงฉายไปช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็คลิกเข้าไปอ่านกันได้นะ
ที่นี่
เอ้า เดี๋ยวเรามาดูกันก่อนดีกว่าว่า 7 เรื่องที่จะลงในเดือนนี้มีเรื่องอะไรบ้าง แต่หมีบอกหน่อยว่าเดือนนี้มันอู้หูอ้าหาจริงๆ เพราะมันมีแต่เรื่องที่แบบ...สุดๆ ไปเลยครับ ทั้งนั้น!
- Nausicaä of the Valley of the Wind (1984)
- Princess Mononoke (1997)
- My Neighbors the Yamadas (1999)
- Spirited Away (2001)
- The Cat Returns (2002)
- The Secret World of Arrietty (2010)
- The Tale of the Princess Kaguya (2013)
Nausicaä of the Valley of the Wind (1984)
แอนิเมชันคลาสสิกเรื่องนี้เรียกว่าได้ฤกษ์ฉายเป็นเรื่องแรกของจิบลิเลยล่ะ ซึ่งก่อนจะมาโลดแล่นในจอภาพยนตร์นั้น Nausicaä of the Valley of the Wind เคยอยู่ในรูปแบบของมังงะมาก่อน ซึ่งก็ไม่ใช่มังงะฝีมือใครที่ไหน ก็ของคุณผู้กำกับมิยาซากิ ผู้ก่อตั้งสตูดิโอจิบลินี่แหละ
พล็อตเรื่องก็เหมาะกันดีกับบ้านเราช่วงนี้จริงๆ เพราะพูดถึงอารยะธรรมของมนุษย์ที่ล่มสลายลงครั้งใหญ่ ธรรมชาติถูกทำลายจนสิ่งแวดล้อมที่พิษ ป่ากลายเป็นแหล่งสะสมของสิ่งมีชีวิตพึลึกพิสดาร ต้นไม้ปล่อยสปอร์พิษลอยล่องไปในอากาศ แถมมนุษย์ต้องสวมหน้ากากเพื่อป้องกันอากาศที่เป็นพิษด้วย (แหม! คุ้น) เด็กหญิงตัวเอกของเรื่องจึงพยายามค้นหาสาเหตุของปรากฏการณ์นี้ จนกระทั่งได้พบความจริงน่าตกตะลึงตึงตึงเข้าให้
เป็นแอนิเมชันที่หมีมองว่าเป็นเหมือนต้นแบบของโครงเรื่องหลักๆ ในงานของสตูดิโอจิบลิเลย ไม่ว่าจะเรื่องของการอนุรักษ์ธรรมชาติ หลักปรัชญาย่อยง่าย หรือความเป็นเฟมินิสต์ที่เลือกจะใช้ตัวเอกหญิงมาเป็นตัวชูโรง นับว่าเป็นเรื่องที่หลายคนชื่นชอบกันมากครับ
Princess Mononoke (1997)
หนึ่งในเรื่องโปรดของหมีเองแหละ จำได้ว่าตอนดูครั้งแรกอายุยังน้อย (หุหุ) หมีไม่ค่อยเข้าใจเนื้อหานัก ดูไปครึ่งเรื่องเลยปิด ผ่านไปสักปีสองปีกลับมาดูใหม่ สรุป เฮ้ย ชอบเฉย
เรื่องราวจะอยู่ในช่วงยุคซามูไรของญี่ปุ่น ในช่วงนั้นมีปิศาจออกอาละวาด เจ้าชายอาชิทากะเข้ามาจัดการเจ้าปิศาจไว้ได้ แต่แขนของเขาถูกทำร้ายและเกิดแผลน่าขยะแขยงขึ้น อาชิทากะสงสัยที่มาของปิศาจจึงเดินทางออกค้นหาความจริง จนมาถึงดินแดนหนึ่งที่อยู่ใต้การดูแลของเทพหมาป่าและได้พบหญิงสาวชื่อ ซัง หรือก็คือเจ้าหญิงแห่งพงไพร เจ้าของชื่อแอนิเมชันเรื่องนี้นั่นเอง
แอนิเมชันเรื่องนี้ทำให้เราได้คำตอบว่า ทำไมซังและเทพเจ้าหมาป่าจึงเกลียดชังโลกมนุษย์ ทำไมเทพเจ้าจึงตอบโต้มนุษย์ด้วยความรุนแรง ที่สำคัญหากผู้ใหญ่อย่างเราๆ ได้ดูจะได้ข้อขบคิดว่า ทำยังไงมนุษย์อย่างเราจึงจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับสิ่งรอบตัวที่เต็มไปด้วยความแตกต่างได้อย่างสันติสุข
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือบรรดาเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตแสนประหลาดน้อยใหญ่ในเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์มาก ไม่นับเทพหมาป่าที่สุดจะเท่แล้ว ยังมีผู้สัญจรยามราตรีที่มาเงียบๆ แต่แอบหลอน หรือตัวขโมยซีนอย่างโคดามะ เจ้าตัวเล็กๆ ขาวๆ เรืองแสง ที่หากพบเจอที่ไหนแสดงว่าป่าผืนนั้นอุดมสมบูรณ์ (ซึ่งเอาจริง หมีว่าอีตัวนี้หลอนกว่าอีกเวลาทำหัวสั่นๆ ไม่เชื่อลองไปดู 55555)
My Neighbors the Yamadas (1999)
เจอพล็อตแอบเครียดมาเยอะแล้ว มาเจอเรื่องขำขันสนุกสนานกันบ้างดีกว่า กับ My Neighbors the Yamadas ที่นับได้ว่าเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันแนวคอเมดีของสตูดิโอจิบลิ มาพร้อมลายเส้นแบบการ์ตูนสมัยก่อนชวนให้คิดถึง
เรื่องราวของแอนิเมชันเรื่องที่ว่านี้จะพูดถึงชีวิตของครอบครัวคนญี่ปุ่นที่ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกพิสดาร แต่เน้นไปที่การเล่าถึงเรื่องราวสุดแสนจะธรรมดาของครอบครัวยามาดะ ความวุ่นวายในแต่ละวันของพวกเขา รสชาติชีวิตที่มีสีสัน ดูเนื้อหาเรียบๆ ง่ายๆ แต่กลับอธิบายถึงความหมายของคำวา “ครอบครัว” ได้ดีผ่านเรื่องขำขันของพวกเขา
หมีว่าเรื่องนี้เหมาะที่จะดูด้วยกันกับครอบครัว เพราะเนื้อหาไม่ได้หนักอะไร ที่สำคัญคือความบริสุทธิ์และการใช้อุปมาอุปมัยผสมไปกับพลังแห่งการจินตนาการตามสไตล์จิบลิก็ยังคงอยู่ แม้เนื้อเรื่องจะเรียบง่าย แต่ทุกคนอย่าลืมเชียวว่าซิมเปิลอิสเพอร์เฟ็คนะครับ
Spirited Away (2001)
หลายคนคงเคยดูเรื่องนี้กันมาแล้ว กับ Spirited Away ผลงานน้ำดีที่คว้ารางวัลแอนิเมชันยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ แถมยังประสบความสำเร็จแบบสุดปัง เอาชนะ "ไททานิก" ได้ในบ้านตัวเองอีกด้วย
หมีไม่พูดเยอะ เพราะคิดว่าทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันดี เล่าคร่าวๆ แล้วกันว่า Spirited Away นั้นพูดถึงเด็กหญิงวัยสิบปีชื่อจิฮิโระที่หลงเข้าไปในโลกของภูตพร้อมกับครอบครัว หลังจากมีเรื่องให้พ่อแม่ของหนูน้อยต้องกลายร่างหมูอ้วนๆ สองตัว จิฮิโระก็ได้เจอกับเด็กผู้ชายชื่อฮาคุ ฮาคุพาเธอเข้าไปทำงานในโรงอาบน้ำที่มีภูติผีปีศาจเดินกันให้ขวั่ก จิฮิโระต้องอดทนและหาทางช่วยให้พ่อแม่กลับเป็นมนุษย์และออกจากโลกแห่งภูตินี่ให้ได้
แอนิเมชันเรื่องนี้แน่นอนว่าเป็นการสะท้อนถึงการเรียนรู้เพื่อเติบโต แถมยังแฝงคติความเชื่อแบบญี่ปุ่นเอาไว้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะเสียดสีสังคมญี่ปุ่นไปในตัว เห็นได้จากสภาพโรงอาบน้ำในเรื่องที่หรูหราฟุ้งเฟ้อ หรือการละโมบโลภมากของพนักงานภูติในสถานที่นั้น
อ้อ...และที่ลืมไม่ได้คือแอนิเมชันเรื่องนี้ให้กำเนิดภูติสุดฮอตอย่างเจ้าผีไร้หน้า ขวัญใจของใครหลายๆ คนด้วย
The Cat Returns (2002)
เป็นอีกหนึ่งแอนิเมชันเบาๆ สบายๆ จากจิบลิที่คนรักแมวควรดูเป็นอย่างยิ่ง เพราะแมวเยอะมาก!
ความจริงแอนิเมชันเรื่องนี้เป็น Spin off ของเรื่อง "Whisper of the Heart" (เข้าฉายใน Netflix วันที่ 1 เดือนเมษายน) แต่ถึงไม่ได้ดูเรื่องหลักก่อนก็ไม่เป็นไรเพราะเนื้อหาไม่มีอะไรเกี่ยวกัน มีแค่เจ้าแมวบารอนสุดเท่กับแมวอ้วนมุตะที่ปรากฏในเรื่องเท่านั้น (เจ้าตัวหลังนี่มีชื่อว่ามูนในเรื่อง Whisper of the Heart)
เนื้อหากล่าวถึงนักเรียนหญิง ฮารุ ที่ไปช่วยชีวิตแมวตัวหนึ่งเอาไว้ได้ แมวตัวนั้นคือ ลูน เจ้าชายจากอาณาจักรแมว และเพื่อเป็นการตอบแทน เหล่าแมวทั้งหลายจึงจัดขบวนแห่มารับฮารุกลับไปแต่งงานกับเจ้าชายลูนในอาณาจักรแมว ซึ่งคน...เอ๊ย! แมวที่จะช่วยฮารุได้นั้นก็คือบารอนนั่นเอง
แอนิเมชันเรื่องนี้ดูได้เพลินๆ เนื้อหาไม่เครียด แมวเพียบอีกต่างหาก ที่สำคัญตัวละครอย่างบารอนนี่ก็พระเอกสุดเท่ดีๆ นี่เอง ส่วนอีกคนที่ขโมยซีนเก่งก็คือมุตะ เจ้าแมวจอมยียวนที่ครองใจใครหลายคน ดูเพลินๆ สนุกสนานดีครับผม
The Secret World of Arrietty (2010)
ใครชอบแอนิเมชันภาพสวยต้องไม่พลาดเรื่องนี้จริงๆ เป็นเรื่องโปรดของแม่หมีเลย 555 (เห็นมั้ย แอนิเมชันของจิบลิเด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดีจริงๆ) แอนิเมชันเรื่องนี้สร้างขึ้นโดยอิงจากนิยายเรื่อง The Borrowers ของ Mary Norton ที่เราน่าจะคุ้นเคยกันดีสมัยเด็กๆ พอมาโลดแล่นผ่านฝีมือการกำกับของสตูดิโอจิบลิแล้วมันเลยชวนให้ตราตรึงใจจริงเชียว
อาริเอตี้ คือชื่อของเด็กสาวซึ่งเรียกตัวเองว่า "พวกหยิบยืม" หรือในความเป็นจริงคือคนตัวจิ๋วที่ตัวสูงเพียงแค่ 10 เซนติเมตร คนตัวจิ๋วนี้อาศัยอยู่ใต้พื้นเรือนของมนุษย์ มักจะออกจากบ้านในช่วงกลางคืนเพื่อ "ยืม" ข้าวของเครื่องใช้หรืออาหารของมนุษย์มายังชีพ
นอกจากภาพจะสวยแบบไม่มีที่ติแล้ว แอนิเมชันเรื่องนี้ยังบอกเล่าถึงความสัมพันธ์ของคนตัวจิ๋วอย่างอาริเอตี้ กับเด็กชายชาวมนุษย์อย่าง โช ที่เดินทางมาพักที่บ้านหลังนี้เพื่อเตรียมตัวผ่าตัดโรคหัวใจของเขา แต่แน่นอนว่าความจิบลิอ่ะเนอะ ถ้าดูหลายๆ เรื่องแล้วเริ่มจับจุดได้เราจะรู้ว่าตอนจบไม่ได้สวยงามไปเสียทั้งหมด อาจจบแบบ Bittersweet ไปบ้าง แต่ว่ากันตามตรงแล้วมันก็คือการจบในแบบที่สมเหตุสมผลที่สุดนั่นแหละ
The Tale of The Princess Kaguya (2013)
เรื่องนี้หมีไม่อยากให้พลาด สำหรับบ้านเรานั้นอาจไม่ได้ดังเทียบกับผลงานขึ้นหิ้งเรื่องอื่นๆ ของสตูดิโอจิบลิ แต่ถามว่ามันสุดมั้ย หมีตอบได้เลยว่ามันสุดมาก เป็นผลงานที่ชวนให้ตีความและมีเอกลักษณ์ตรงลายเส้นนี่แหละ
คงไม่มีใครไม่รู้จักตำนานเจ้าหญิงจากกระบอกไม้ไผ่ แอนิเมชันเรื่องนี้ก็ตามนั้นเลยครับผม พูดถึงชายชราอาชีพตัดไผ่คนหนึ่งที่ไปเจอปล้องไผ่เรืองแสงเข้าให้ ด้วยความสงสัยเลยเข้าไปดูแล้วพบว่าในนั้นมีเด็กทารกหญิงตัวกระจิ๋วเดียวนอนอยู่ ชายชราดีใจรับเอาเด็กกลับไปเลี้ยงที่บ้านด้วยกันกับภรรยา พร้อมกับตั้งชื่อให้เด็กน้อยว่าคางุยะฮิเมะ
ทารกน้อยเติบโตเป็นสาวงาม และความงามก็นำพาความโชคร้ายมาให้ เพราะงามเกินไปใครๆ จึงต้องการตัว (โถ กรรมของสาวงาม) เมื่อย้ายไปอยู่ในตำหนักใหญ่ประหนึ่งเทพ แทนที่ชีวิตจะดีขึ้น คางูยะกลับต้องเจอกับขนบธรรมเนียมที่ต้องปฏิบัติ ผู้คนที่เข้ามาเพื่อฉกฉวยผลประโยชน์ ความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจที่ได้รับ เรียกได้ว่า "ดาร์ก" แบบเต็มขั้นล่ะครับ
อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าผลงานของสตูดิโอจิบลิจะเน้นหลักๆ ไม่กี่เรื่อง ธรรมชาติ ปรัชญา และเฟมินิสต์ สำหรับเรื่องนี้เราจะได้เห็นถึงความชอกช้ำของการเกิดเป็นหญิงสาวในยุคที่ขนบธรรมเนียมรัดตัวพวกเธอจนหายใจไม่ออก ความสุขที่ไม่จีรัง ความเป็นมนุษย์ที่ดำมืด สุดท้ายโลกมนุษย์ก็ใจร้ายกับคางูยะ ทำให้เธอเลือกจะกลับไปบนดวงจันทร์ ไม่ขอกลับมาเจอความทุกข์ที่โลกมนุษย์อีก
เนื้อเรื่องชวนขมขื่นไม่พอ ลายเส้นยังพาให้ขื่นขมไปอีก หมีเคยคุยกับหลายๆ คน ส่วนใหญ่ที่ไม่ดูแอนิเมชั่นเรื่องนี้เป็นเพราะลายเส้นนี่แหละ พวกเขาบอกกันว่าลายเส้นมันชวนอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งหมีว่าน่าจะเป็นความตั้งใจของคนเขียนล่ะนะ เพราะการเลือกลายเส้นแบบนี้มาใช้มันช่วยขับอารมณ์ความดาร์กให้เรื่องดีจริงๆ
จบลงไปแล้วกับการรีวิวผลงานของสตูดิโอจิบลิทั้ง 7 เรื่องประจำเดือนมีนาคม ซึ่งหมีบอกได้เลยว่าเดือนนี้ไม่ควรพลาดสักเรื่องจริงๆ ใครไม่รู้จะดูเรื่องไหนก่อนก็ลองเรียงลำดับตามปีที่ฉายก็ได้นะครับ ส่วนใหญ่หมีก็ทำแบบนี้แหละ 555
ส่วนเดือนหน้าจะเป็นล็อตสุดท้ายแล้ว แต่จะมีเรื่องไหนบ้างเอาเป็นว่ารอให้ถึงช่วงนั้นหมีจะคัมแบ็คอีกหน พร้อมกับรีวิวสั้นๆ ตามเคย อดใจรอกันได้เลยจ้าาา