ช่วงนี้มีหลายเรื่องมารุมเร้า แต่เราไม่มีทางลืมว่าเดือนนี้แอนิเมชันจากสตูดิโอจิบลิเข้า Netflix เป็นล็อตสุดท้ายแล้ว!
อันที่จริงจะบอกว่าไม่ลืมก็ดูจะเป็นการโกหกไปหน่อย 5555 ก็แหม ช่วงนี้มันดูเป็นสถานการณ์ที่ปั่นป่วนไปหมด เรื่องนั้นเอยเรื่องนี้เอย ไหนจะต้องอยู่แต่ในบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายของไวรัสโควิดอีก ระแวงจนจะประสาทกินแล้วเนี่ย
ถึงตัวหมีเองจะเป็นหมีจำศีล ชอบหมกตัวอยู่แต่ในรังน้อยกลอยใจของตัวเอง แต่เจอแบบนี้ก็เครียดเหมือนกันนะ!
ยิ่งอากาศเดือนเมษามันร้อนอบอ้าวแบบนี้ แทนที่จะไปนั่งตากแอร์เย็นฉ่ำในห้างใกล้บ้านได้ แต่ตอนนี้ได้แต่ฝันกลางวัน กระซิกๆ
ไม่แปลกใจเลยถ้าค่าไฟเดือนนี้จะ “เปล่งประกาย” แหะๆ
ไม่พูดนอกเรื่องแล้ว อยู่บ้านแล้วยังไงล่ะ ในเมื่อเรามีช่องทางให้ได้รับความเอนเตอร์เทนกันง่ายๆ เพียงแค่คลิกนิ้วแบบนี้
หมีเองเพิ่งจะมาดูปฏิทินแล้วก็อุทานในใจว่า อุ๊ย หมดเดือนอีกแล้วนี่นา
และเริ่มเดือนใหม่กันมาแบบนี้ แน่นอนว่าต้องเข้าไปเช็คตาราง Netflix กันเสียหน่อย
เดือนเมษายนนี้ผลงานแอนิเมชันของสตูดิโอจิบลิจะเข้าแพลตฟอร์มของเค้าเป็นล็อตสุดท้ายแล้ว เดี๋ยวมาดูรีวิวสั้นๆ ฉบับหมีหมีกันดีกว่าว่าเรื่องไหนน่าสนใจยังไง คอนเฟิร์มโดยเซียนหมีรีวิวคนนี้นี่เอง
อ้อ แต่ถ้าใครอยากเข้าไปอ่านรีวิวเก่าๆ ของสองล็อตก่อนหน้าก็เข้าไปอ่านกันได้นะครับผม ทั้งของเดือน
กุมภาพันธ์ และเดือน
มีนาคม
- Pom Poko (1994)
- Whisper of the Heart (1995)
- Howl’s Moving Castle (2004)
- Ponyo on the Cliff by the Sea (2008)
- From Up on Poppy Hill (2011)
- The Wind Rises (2013)
- When Marnie Was There (2014)
Pom Poko (1994)
มาเริ่มกันที่เรื่องนี้เลยกับ Pom Poko ใครที่ชอบเหล่าเจ้าทานุกิไม่ควรพลาด แต่ว่าบอกก่อนนะว่าทานุกิในเรื่องนี้ไม่ได้น่ารักเหมือนในอนิเมะญี่ปุ่นทั่วไป เพราะเอาเข้าจริงเมื่อได้คิดดีๆ ระหว่างที่ดูก็จะพบเลยว่า เจ้าทานุกิทั้งหลายในเรื่องนี่มัน "ร้าย" ใช่ย่อย
เนื้อเรื่องจะเล่าถึงการรุกรานจากการขยายพื้นที่ทำกินโดยมีฉากหลังเป็นเนินเขาทามะแถบชานกรุงโตเกียว พวกมนุษย์หันมาตัดต้นไม้ทำลายที่อยู่อาศัยของบรรดาทานุกิกันเป็นว่าเล่น ทำให้ฝูงทานุกิเริ่มสู้กลับด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อที่จะรักษาบ้านของพวกมันเอาไว้
เราจะได้เห็นพวกทานุกิงัดเอาแผนการต่างๆ มาใช้ในการต่อต้านมนุษย์ ทานุกิบางตัวสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ บางตัวก็ไม่ พูดเท่านี้ดูเหมือนทานุกิจะเป็นเหยื่อ แต่ถ้าเราตั้งใจดูดีๆ จะพบว่าทานุกิในเรื่องนี่ไม่ได้มีความรอมชอมเลยสักนิด วิธีการที่งัดมาใช้ก็ดูรุนแรงไม่น้อย (เพียงแค่ถ่ายทอดออกมาในรูปแบบลายเส้นน่ารักน่าชังเท่านั้น มันเลยดูซอฟต์ไงล่ะ 5555) ส่วนตอนจบก็มีความเป็นจิบลิดี คือไม่ได้แฮปปี้จ๋า มีความหวานอมขมกลืนแบบที่เข้าใจได้ว่ามันก็ดูสมเหตุสมผลอ่ะนะ
Whisper of the Heart (1995)
ขวัญใจของหมี หนึ่งในเรื่องที่ชอบมากๆ อยากจะอวยอยากจะอวดตลอดเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดูได้ไม่เบื่อจริงๆ เนื้อเรื่องพูดถึงเด็กสาวคนหนึ่งที่มีนิสัยรักการอ่านและชอบการเขียนหนังสือ วันว่างๆ ก็ชอบไปห้องสมุดเพื่อยืมหนังสือมาอ่าน แต่เด็กหญิงก็สังเกตเห็นว่าหนังสือทุกเล่มที่ตัวเองอ่านจะต้องมีชื่อของเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืมไปอ่านก่อนหน้าทุกครั้ง
หลักๆ เรื่องนี้จะพูดถึงชีวิตประจำวันและมิตรภาพของหนุ่มสาวสองคน มีฉากหลังเป็นความฝันของทั้งคู่ คนหนึ่งอยากเขียนนวนิยาย คนหนึ่งอยากเป็นช่างทำไวโอลิน เนื้อเรื่องดำเนินเคล้าคลอไปกับบทเพลง Take Me Home, Country Roads เพลินๆ เนิบๆ ในช่วงขณะที่เด็กสาวก้าวพ้นวันเวลาแห่งความสับสนของการเติบโต
ยิ่งไปกว่านั้นตัวขโมยซีนคงหนีไม่พ้นแมวที่ปรากฏในเรื่อง สำหรับเดือนที่แล้ว The Cat Returns เพิ่งได้เข้า Netflix มีตัวละครหลักคือแมวบารอนกับเจ้ามุตะตัวอ้วน ซึ่งอันที่จริงทั้งสองคนมีบทบาทเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องนี้ แต่บารอนเป็นแค่หุ่นแมวที่ยืนนิ่งๆ ก็สุดจะเท่ ส่วนมุตะเป็นแมวอ้วนท่าทางขี้เกียจที่มีชื่อในเรื่องนี้ว่ามูน แม้บทจะน้อยแต่เห็นได้เลยว่าฮอท เพราะงั้นเลยมีภาคแยกของตัวเองใน The Cat Returns นี่แหละ
Howl’s Moving Castle (2004)
ในที่สุดเจ้าชายฮาวล์ก็ขนปราสาทบินได้มาถึง Netflix แล้ว! ถ้าพูดว่าในบรรดาพระเอกของสตูดิโอจิบลิใครครองเสียงกรี๊ดได้มากที่สุด คำตอบคงหนีไม่พ้นพ่อมดฮาวล์ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้แน่นอน เฮ้อ คนหล่อก็มีข้อดีของคนหล่อแฮะ
ไม่พูดมากดีกว่า แอนิเมชันเรื่องนี้ได้เค้าโครงมาจากหนังสือชื่อเดียวกันของ Diana Wynne Jones (ที่ตอนนี้บ้านเราเป็นแรร์ไอเท็มไปแล้ว ขายกันราคาสูงแบบขูดเลือดขูดเนื้อไปเลย หมีเองก็ต้องกัดฟันซื้อมาจนได้...)
แอนิเมชั่นเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของโซฟี ช่างทำหมวกสาวที่สืบทอดกิจการจากพ่อ แต่วันหนึ่งถูกแม่มดจากทุ่งร้างสาปให้กลายเป็นคนแก่ โซฟีจึงต้องออกเดินทางตามหาปราสาทเคลื่อนที่เพื่อที่จะได้ให้พ่อมดฮาวล์เจ้าของปราสาทช่วยถอนคำสาปให้ และก็นั่นแหละครับ ระหว่างทางก็มีเรื่องแสนมหัศจรรย์เหนือจินตนาการเกิดขึ้นด้วยพอให้สนุกสนาน แต่เรื่องนี้ภาพสวยมากกกก คาแรคเตอร์แปลกๆ ก็เพียบ น้องๆ หนูๆ เป็นถูกอกถูกใจ
Ponyo on the Cliff by the Sea (2008)
สำหรับเรื่องนี้คนไทยเราน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดี ถึงไม่เคยดูก็น่าจะเคยผ่านตากับคาแรคเตอร์ของเรื่องมาล่ะเนอะ เด็กๆ ชอบกันเยอะ แต่พวกที่ไม่ถูกโรคกับอะไรนุ่มๆ หยึยๆ อย่างหมีก็ออกจะเกร็งๆ ไปหน่อยเวลาดู (ความจริงมันคือฟองน้ำล่ะ แต่มันดูหยึยๆ ไง อธิบายไม่ถูก แต่ขนลุกแปลกๆ 5555)
เนื้อเรื่องล็อกเป้าไปที่เมืองเล็กๆ ริมทะเลกับเด็กชายคนหนึ่งที่ดันไปพบเข้ากับปลาทองหน้าเหมือนคน ติดอยู่ในโหลแยมเก่าๆ แถวหาดหินใต้หน้าผา เจ้าเด็กนี่ใจดีเลยช่วยชีวิตและเลี้ยงปลาทองหน้าคนไว้ในถังน้ำพลาสติก ตั้งชื่อให้ว่าโปเนียว ซึ่งโปเนียวมีพ่อเป็นเจ้าสมุทรที่มีชีวิตอยู่ใต้ทะเลลึก ลุงแกก็บังคับลูกให้กลับทะเลได้แล้ว แต่โปเนียวน้อยก็บอกว่าไม่เอาอยากเป็นมนุษย์! ไปๆ มาๆ ก็มีเรื่องมีราวเกิดขึ้นมากมายเพราะโปเนียวน้อยดันทำน้ำแห่งชีวิต ของเหลวศักดิ์สิทธิ์ของพ่อรั่วไปในท้องทะเลจนหมดขวด กลายเป็นสึนามิถล่มเมืองมนุษย์เสียอย่างนั้น
เป็นเรื่องที่เหมาะจะดูเพื่อความสนุกสนาน แต่ก็เป็นสไตล์แบบจิบลิ๊จิบลิ คือการรักธรรมชาติ จะว่าไปสตูดิโอนี้ก็ขนมาหมดเลยนะทั้งรักษ์ป่ารักษ์ท้องทะเล
From Up on Poppy Hill (2011)
ใครชอบญี่ปุ่นโทนภาพแบบปัจจุบันแต่มีกลิ่นอายเก่าแก่แบบปี 60 น่าจะชอบกัน เนื้อเรื่องจะพูดถึงเด็กหญิงคนหนึ่งที่เสียพ่อไปในช่วงสงครามเกาหลี เธออาศัยอยู่ที่เมืองท่าแห่งหนึ่งและทุกเช้าจะชักธงสัญญาณขึ้นที่บ้านเพื่อระลึกถึงพ่อ
เนื้อเรื่องเน้นไปที่ความสัมพันธ์ในโรงเรียนของเด็กสาวกับเพื่อนๆ ในโรงเรียนที่ทำการรณรงค์ต่อต้านการรื้อถอนอาคารชมรมซึ่งเป็นอาคารเก่าแก่รูปทรงแบบตะวันตก เนื้อหาครึ่งแรกจะเป็นการพยายามรักษาและฟื้นฟูชมรมเอาไว้ของเด็กๆ ส่วนครึ่งเรื่องหลังเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของพระนาง
อันที่จริงเรื่องนี้มีข้อดีตรงภาพสวย บรรยากาศดีมาก บทครึ่งเรื่องแรกก็ดี แต่ในส่วนของครึ่งเรื่องหลังหมีว่าการยัดเยียดปมเกี่ยวกับพี่น้องมาให้มันดูอ่อนไปหน่อยแถมดูรีบๆ ร้อนๆ ไปด้วย แต่ถ้าคนไม่คิดมากอะไรก็อาจจะชอบนั่นแหละครับ
The Wind Rises (2013)
สารภาพว่าเป็นผลงานจิบลิที่หมีดูไม่จบสักหน 555 จนถึงตอนนี้ก็ยังดูไม่จบเลยไม่กล้าพูดอะไรมาก เอาเป็นว่าเป็นหนึ่งในผลงานที่ถูกพูดถึงกันบ่อยๆ แต่ใครจะชอบไม่ชอบยังไงก็ยังถูกแบ่งเป็นสองเสียงอยู่ดี เป็นเรื่องที่ถ้าชอบก็ชอบเลย ถ้าไม่ชอบก็นั่นแหละ
เนื้อเรื่องพูดถึงเด็กหนุ่มต่างจังหวัดคนหนึ่งที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักบิน ตอนนั้นญี่ปุ่นอยู่ในช่วงเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมรวมถึงแสนยานุภาพทางการทหาร เขาจึงเดินทางมาโตเกียวเพื่อศึกษาเกี่ยวกับวิศวกรรมการบิน จนเขาได้เข้าทำงานที่มิตซูบิชิเครื่องยนต์ ได้เป็นวิศวกรออกแบบเครื่องบินรบให้กองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่น ระหว่างนั้นก็พัฒนาความสัมพันธ์กับหญิงสาวที่เขาเคยช่วยไว้ตอนเข้าโตเกียวใหม่ๆ
การเล่าเรื่องค่อนข้างเรียบๆ ไม่ค่อยกระโตกกระตาก มันเลยทำให้คนง่วงเอาง่ายๆ ซึ่งนี่อาจเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้หมีดูไม่จบสักทีก็ได้นะ แหะๆ
When Marnie Was There (2014)
เป็นการคัมแบ็คของจิบลิหลังจากหายไปนาน สร้างมาจากนิยายชื่อเดียวกันอีกเหมือนกัน พูดถึงเด็กสาวกำพร้าที่ต้องไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็ก ไม่นานก็ถูกคนรับไปเลี้ยงในฐานะลูกบุญธรรม แต่เด็กคนนี้กลับรู้สึกว่าทั้งคู่ไม่ได้อยากเลี้ยงเธอด้วยใจจริงเลยพาลกลายเป็นเด็กเก็บตัวไม่ชอบพูดคุยกับใครซะงั้น
วันหนึ่งอาการหอบหืดของเด็กสาวกำเริบ ครอบครัวเลยย้ายเธอไปรักษาตัวที่หมู่บ้านชนบทติดทะเล และที่นั่นเอง เธอได้เจอคฤหาสน์ร้างหลังหนึ่งตั้งอยู่เดียวดาย พอไปสำรวจกลับมาก็ฝันเห็นเด็กสาวผมทองในคฤหาสน์
ไม่ใช่เรื่องผีนะ ถึงจะกึ่งๆ ก็เถอะ แต่เป็นแนวมิตรภาพต่างมิติอะไรเทือกนี้มากกว่า ความจริงเรื่องนี้ไม่ถือว่าดังเมื่อเทียบกับผลงานเรื่องอื่นๆ แต่ก็เหมาะสมจะดูเพื่อตามเก็บผลงานน่าประทับใจของจิบลิล่ะครับ
ปิดจ็อบกันเสียทีกับซีรีส์นี้ของหมี ใครยังไม่ได้ดูถือโอกาสกักตัวอยู่บ้านดูเพลินๆ แก้เบื่อได้นะครับ บางเรื่องอย่าเห็นว่าเก่าไปไม่ชวนดูเชียว ต้องเก่าๆ สิถึงจะยิ่งดี เพราะทั้งภาพและเนื้อหามันช่างละเมียดละมุนนุ่มลึกจริงๆ ที่สำคัญเนื้อหายังร่วมสมัยอีกด้วย
แนะนำว่าลองได้ดูสักเรื่องแล้วจะต้องติดใจอย่างแน่นอน เชื่อหมีสิ!