SC เติบโตทั้งรายได้และกำไร โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้รวมเติบโต 44% กำไรสุทธิเติบโต 107%
ครึ่งปีหลังเตรียมรุกเปิดทุกระดับราคา รวม 15 โครงการใหม่ มูลค่า 15,000 ลบ. พร้อมมุ่ง re-invent สู่การเป็น Living Solutions Provider
นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ สรุปผลการดำเนินงานที่ดีที่ผ่านมาว่า “ ในช่วงครึ่งปีแรก SC เติบโตทั้งรายได้และกำไรสุทธิ สรุปดังนี้
1. มีรายได้รวม 6,652 ล้านบาท เติบโต 44% (yoy) โดยรายได้หลักมาจากโครงการเพื่อขาย 6,223 ล้านบาท คิดเป็น 94% ของรายได้รวม ประกอบด้วย
1.1 รายได้จากการขายแนวราบ 4,522 ล้านบาท เติบโต 49% (yoy) ทั้งนี้เมื่อเทียบกับกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา การเติบโตของแนวราบมีความโดดเด่นใน 3 กลุ่ม ได้แก่
- บ้านหรูราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป เติบโต 67%
- บ้านราคา 8-20 ล้านบาท เติบโต 512%
- ขณะที่ราคาน้อยกว่า 5 ล้านบาท เติบโต 132%
1.2 และเป็นรายได้จากการขายคอนโดฯ 1,701 ล้านบาท เติบโต 49% (yoy) เช่นกัน ส่วนใหญ่มาจากการโอนโครงการ SALADAENG ONE (ศาลาแดง วัน) 1,119 ล้านบาท และที่เหลือ 582 ล้านบาท มาจากคอนโดฯ สร้างเสร็จพร้อมอยู่จากโครงการ CHAMBERS (แชมเบอร์ส), CENTRIC (เซ็นทริค) และ THE CREST (เดอะเครสท์)
2. สำหรับกำไรสุทธิ 704 ล้านบาท เติบโต 107% (yoy) ด้วย 2 สาเหตุหลัก คือ
2.1 มีรายได้เติบโตทั้งแนวราบและแนวสูง โดยเริ่มโอนคอนโดฯ SALADAENG ONE (ศาลาแดง วัน) ในไตรมาส 2
2.2 การบริหารค่าใช้จ่ายมีประสิทธิภาพดีขึ้น ทั้งด้านการตลาด ด้วยรายได้ที่เติบโต 49% แต่มีค่าใช้จ่ายการตลาดลดลง 13% โดยได้มีการทำ JBP (Joint Business Partner) กับ Google และใช้การตลาดออนไลน์สูงกว่าปีที่ผ่านมาเกือบ 100% พร้อมกับค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการแนวราบเฉลี่ยลดลง 15%
สำหรับยอดขายรวมครึ่งปีแรกเท่ากับ 7,235 ล้านบาท โดยมาจากแนวราบและแนวสูงในสัดส่วน 70% และ 30%โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมและหนี้สินรวมเท่ากับ 41,711 ล้านบาท และ 26,583 ล้านบาทตามลำดับ
ส่วนในครึ่งปีหลัง SC จะมีโครงการเปิดขายรวมทั้งสิ้น 51 โครงการ มูลค่ารวม 47,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 15 โครงการใหม่ มูลค่า 15,000 ล้านบาท และโครงการต่อเนื่อง 36 โครงการ มูลค่า 32,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดขาย รอโอนหรือ Backlog เท่ากับ 10,730 ล้านบาท โดย 45% จะรับรู้รายได้ในปี 2561 ทำให้มั่นใจว่า SC จะทำได้ตามเป้ายอดขายและรายได้ของปีนี้ที่ 17,000 ล้านบาท ”
โดยแผนเปิด 15 โครงการใหม่ แบ่งเป็น
คอนโดฯ 1. โครงการ คือ แชมเบอร์ส อ่อนนุช สเตชั่น มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ราคา 3-5 ล้านบาท พร้อมกับโครงการแนวราบทุกระดับราคา จำนวน 14 โครงการ มูลค่ารวม 13,300 ล้านบาท ดังนี้
บ้านราคา 3-60 ล้านบาท จำนวน 10 โครงการ ได้แก่
2. แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เสรีไทย
3. บางกอก บูเลอวาร์ด ศรีนครินทร์-บางนา
4. บางกอก บูเลอวาร์ด พระราม 9-2
5. บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เสรีไทย
6. เวนิว ติวานนท์-รังสิต
7. เวนิว เวสต์เกต
8. เวนิว พระราม 9
9. เพฟ ปิ่นเกล้า-ศาลายา
10. เพฟ มอเตอร์เวย์-ฉะเชิงเทรา
11. เดอะ เจนทริ เอกมัย-ลาดพร้าว
ทาวน์โฮม 2 โครงการ และ โฮมออฟฟิศ 1 โครงการ ราคา 2-10 ล้านบาท ได้แก่
12. เวิร์ฟ ติวานนท์-รังสิต
13. เวิร์ฟ พระราม 9
14. เวิร์คเพลส เพชรเกษม 81-2
พร้อมกับแบรนด์ใหม่ชื่อ “V Compound” เป็นบ้านและทาวน์โฮม ราคา 3-7 ล้านบาท
15. โครงการวี คอมพาวด์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า
ด้วยกลยุทธ์ Re-invention 2020 ที่มุ่งสู่การเป็น Living Solutions Provider มีความคืบหน้าไปแล้วตามแผน ดังนี้
1. ร่วมพัฒนา Baan Rue Jai Application กับบริษัท ไฟร์ วัน วัน จำกัด เพื่อสร้างประสบการณ์การสื่อสารที่ใกล้ชิดระหว่าง SC และ ชาว SC Family พร้อมให้ดาวน์โหลดทั้งระบบ iOS และ Android ไตรมาส 4 นี้ โดย 2 feature สำคัญเป็นการแจ้งซ่อม และ One-on-One Conversation ที่ชาว SC Family สามารถติดต่อ SC และติดตามสถานะงานซ่อมได้ทุกที่ตลอด 24 ชม. และหลังจากนี้จะมี feature ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาทุก ๆ ไตรมาส ผ่านวิธีคิดอย่างเข้าใจและรู้ใจผู้ใช้ (human-centric)
2. มีการร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจหลากหลายใน ecosystem นำร่องโดยการจัดสรรพื้นที่จำนวน 6 ไร่ บริเวณด้านหน้าของที่ดินบางกะดี จ.ปทุมธานี ขนาด 240 ไร่ เพื่อพัฒนาพื้นที่สาธารณะให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้อยู่อาศัยและชุมชนในย่าน
3. เริ่มปรับปรุงพื้นที่กว่า 1,500 ตร.ม. บริเวณชั้น 14 ณ อาคารชินวัตร 3 สำนักงานใหญ่ เป็น co-working space เพื่อส่งเสริมการทำงาน (co-creation) ร่วมกับ Startup หรือกลุ่มพันธมิตรธุรกิจต่างๆ พร้อมเปิดใช้ไตรมาส 2/2562
4. ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ Slingshot Group ปรับวัฒนธรรมองค์กร เพื่อรองรับการเติบโตในบริบทใหม่ สำหรับทุกคนในองค์กร และ คนรุ่นใหม่ที่จะเข้าร่วมงานกับ SC ในอนาคต
นายณัฐพงศ์กล่าวสรุปว่า “บริบทใหม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของ landscape ในการทำธุรกิจ SC จะเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน โดยเป็น Living Solutions Provider ผสานนวัตกรรมเข้ากับที่อยู่อาศัย เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบันและอนาคต เราพร้อมปรับตัวอยู่เสมอ เรียนรู้พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอของมนุษย์ผู้อยู่อาศัย แต่ 2 สิ่งที่จะไม่เปลี่ยนแปลง คือ คุณภาพสูง และ ความจริงใจจาก SC”